นะโม: อักขระจากอินเดียใต้



หัวนะโม” ถือว่ากำลังเป็นวัตถุมงคลจากแดนใต้(นครศรีธรรมราช) ที่ฮิตฮอตมาก ในโลกออนไลน์ตอนนี้  ว่ากันว่ามีพุทธคุณ “ช่วยปัดเป่าโรคโควิด 19” ที่กำลังระบาดได้!!!

แรกเริ่มเดิมที หัวนะโม ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเงินตราแลกเปลี่ยนสินค้า  ตามตำนาน เล่าไว้ว่า “พญาศรีธรรมโศกก็ทูลพระกรุณาว่าเมืองท่าทองใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ ยากเงินทอง ข้าพระเจ้าพระบาทอยู่หัว จะขอทำเงินเล็กปิดตรานโม ประจำแต่นี้ไปเมื่อหน้า


หน้าตาเป็นเหมือนเหรียญทรงกลมๆมนๆที่ทำจากแร่เงิน จารึกอักขระตัว  “นะ” (ย่อมาจากนะโมอีกที)ซึ่งเป็น “อักษรปัลลวะ” ที่ได้รับอิทธิพลจากราชวงศ์ปัลลวะ ของประเทศอินเดียทางใต้ ลักษณะวิธีการทำก็จะมีหลากหลายเวอร์ชั่นเลย


“นะโม” ในภาษาสันสฤต(ศาสนาฮินดู)รวมถึงบาลี (ศาสนาพุทธ) ต่างก็มีความหมายเดียวกันคือ เป็นคำที่แสดงถึงความ “เคารพ” “บูชา” ต่อสิ่งที่ศรัทธาสูงสุด ซึ่งในสมัยนั้นเมืองนครฯ นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย นะโมในที่นี้ จึงอาจหมายถึงการน้อมเคารพต่อ พระเป็นเจ้าสูงสุดของฮินดู คือพระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหมนั่นเอง

ก่อนจะไปต่อที่ความเป็นมาของหัวนะโม เรามาเจาะลึกเรื่องอักษรที่จารึกไว้ก่อนนะ

ปัลลวะอักขระโบราณ

จะขอย้อนกลับไปไกลๆซะหน่อยสมัยก่อนนู้นนนนอินเดียมีความเจริญทางอารยธรรมมาก ก็มี ผู้คน และพ่อค้าเดินทางค้าขายไปนู่นนี่มากมาย ซึ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์บรูไน ฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต) ก็ถือได้ว่าเป็นแหล่งพักอารยะธรรมของอินเดีย!  นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทางเราได้อิทธิพลของอินเดียใต้มาทั้งด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ รวมทั้ง ภาษาด้วยแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว

 ซึ่งในประเทศไทยก็มีการสรุปกันแล้วว่า อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียใต้ในไทย ที่เก่าแก่สุดก็เป็นพุทธศตวรรษที่11 (พ.ศ. 1001-1100)  จากศิลาจารึกต่างๆก็พบว่า อักษรที่มีการใช้ ก็ยังเป็นอักษรแบบเดียวกันกับอักษรที่ใช้กันใน “ราชวงศ์ปัลลวะ”  สมัยพระเจ้าศิวะสกันทวรมันแห่งอินเดียใต้ด้วย!  ก็เลยเรียกให้เป็นที่เข้าใจตรงกันกว่า “อักษรปัลลวะ”  นี่แหละ

กลุ่มจารึกรุ่นแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เรียกได้ว่าพวกเราใช้อักษรชนิดนี้ทั้งหมดเลย  โดยถ้าเทียบกันในเรื่องขอบเขตเวลาในไทยก็จะอยู่ในช่วงพุทธศิลป์สมัยทวารวดี นู่นเลยนะ

และอักษรปัลลวะที่ว่านี้แหละ ก็ถือเป็นแม่แบบของอักษรอื่นๆ ในยุคต่อๆมา อย่าง อักษรขอม อักษรไทย อักษรมอญ อักษรเทวนาครี อักษรทมิฬและอื่นๆอีกมากมายเลย  เราจะแอบเห็นความคล้ายคลึงกันอยู่ถ้าลองเอามาเทียบๆกัน



พยัญชนะอักษรปัลลวะ


การผสมคำ(รวมพยัญชนะและสระลดรูป)


สระ(ลดรูป สำหรับรวมกับพยัญชนะ)

เราจะสามารถเจออักษรปัลลวะได้ตามบริเวณแหล่งโบราณคดีต่างๆมากมาย บ่งบอกถึงวัฒนธรรมต้นกำเนิดของอาณาจักรนั้นๆจำกัดเฉพาะบริเวณที่เคยเป็นที่อยู่ของชุมชนในอดีต  เช่น ทางภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก  แล้วก็ภาคอีสาน  ซึ่งอักษรชนิดนี้ก็ถูกใช้เขียนได้หลายภาษาเลยที่นิยมกันในสมัยนั้น  เนื้อหาส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการสรรเสริญ เทพเจ้าฮินดู หรืออธิบายหลักธรรมต่างๆ

ทางภาคใต้บ้านเราสมัยนั้นมีอารยธรรมหลายรูปแบบ เป็นสังคมแบบผสม ก็เลยนิยมใช้หลายภาษาหน่อย อย่างภาษาสันสกฤต บาลี มอญ แล้วก็ภาษาทมิฬ(ภาษาหนึ่งของอินเดียใต้) ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาใช้ อักษระปัลลวะเขียนภาษาพวกนี้ได้หมดเลย

จารึกอักษรปัลลวะที่เก่าแก่ที่สุดที่ในไทย คือ “จารึกหุบเขาช่องคอย” จังหวัดนครศรีธรรมราช(พุทธศตวรรษที่ 11)  ถูกเขียนเป็นภาษาสันสกฤต และบ่งบอกว่าผู้คนมีการนับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย(นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) ใจความของจารึกก็จะพูดถือความเคารพต่อพระศิวะ นั่นแหละ

(อ่านว่า "นโมสฺตุตไสฺมปตเยวนานำ  นโม สฺตุตไสฺมปตเยสุราณาม ปฺรโยชนาจฺฉิวนมา คตาเสฺต  ทาตวฺยมิตฺยตฺร ภวทฺภิเรภยะ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ขอความนอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งป่า  ขอความนอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งมวล  ชนทั้งหลายผู้เคารพต่อพระศิวะ คิดว่า ของท่านผู้เจริญ(พระศิวะ)นี้จึงให้มีอยู่ในที่นี้ จึงมาเพื่อประโยชน์นั้น)

ก็จะสามารถสังเกตตัว “นะ” ในจารึกได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันเลยกับที่อยู่บนหัวนะโมเลย


(โบราณวัตถุมีจารึกเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ภาษาสันสกฤต พุทธศตวรรษที่ 12)

รูปแบบของอักษรปัลลวะที่พบในแต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ ก็จะมีความต่างของสไตล์ลายเส้น(ให้อารมณ์แบบคนเขียนหวัด กับเขียนบรรจง) เพราะงั้นถึงจะจัดเป็นรูปอักษรเดียวกัน แต่พอดูเทียบกันจากต่างที่ รูปสัณฐานเส้นอักษรก็จะมีความต่างกันสักหน่อย

ซึ่งพอหลุดพ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-13 ไปแล้ว หลังจากนี้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-14(ในไทย)ก็จะเป็นยุคของ “อักษรหลังปัลลวะ” คือ ไม่เหมือนปัลลวะดั้งเดิมที่จะมีการลากเส้นยาว ตวัดปลายขึ้นบน เรียกได้ว่าเป็นอักษรที่เริ่มมีการตัดทอนลายเส้นแล้วว่างั้นเถอะแต่ก็ยังพอให้เห็นเค้าความเป็นปัลลวะอยู่นั่นเอง


นะโมเงินตราศักดิ์สิทธิ์?


เหตุผลที่ “หัวนะโม” จากเงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนของกันตามปกติ กลายมาเป็นวัตถุมงคลยอดฮิตในตอนนี้  นอกเหนือจากการจารึกด้วยอักษรโบราณ และคำศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรื่องราวยังมีมากกว่านั้นไปอีกนะ

สมัยของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช(พุทธศตวรรษที่18) แห่งเมืองนครศรีธรรมราช มีช่วงหนึ่งที่โรคห่าระบาดหนักมาก ผู้คนพากันล้มตาย พระเจ้าศรีธรรมโศก จึงให้พราหมณ์ผู้แก่กล้าวิชา  ประกอบ “พิธี” สร้างเงินนโม โดยสวดบูชาเทพเจ้า  มีพิธี “อาฎานา”(พิธีขับไล่ภูตผี) และอื่นๆอีกมากมายเรียกได้ว่าครบเซ็ตยิ่งใหญ่มาก  แล้วก็นำไปฝังหว่านรอบๆเมือง  และมุมเมืองเพื่อให้โรคห่าที่กำลังระบาดอยู่ตอนนั้นหายไปซะที!!  แล้วก็ปรากฏว่าโรคห่าก็หายไปจริงๆ!!!

วันเวลาก็ผ่านไปๆ มาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี เกิดโรคห่าเกิดขึ้นที่เมืองนครฯอีก รัชกาลที่ 4 จึงรับสั่งให้สร้างหัวนะโมขึ้น แล้วบรรจุผงพระพุทธคุณสำเร็จขึ้น จากพระอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้า  เอาไปหว่านรอบเมืองตามตำนานเก่าแก่ว่าไว้ก็ปรากฏว่าโรคห่าก็หายอีก!!

จากตำนานเหล่านี้ก็เลยกลายเป็นความเชื่อที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน  กลายเป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อผู้บูชา โดยเชื่อว่าช่วยให้คุ้มครอง โชคดี  แคล้วคลาดปลอดภัย อายุยืน และที่สำคัญในยุคนี้คือ ป้องกันโควิด19ได้!

ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องความนิยมทางด้านความเชื่อแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยว่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้ศิลปะการทำเครื่องเงินอันเก่าแก่ของที่นี้ ได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น สร้างรายได้ให้คนในชุมชน และต่อลมหายใจให้กับงานฝีมือ  กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าหลงใหลไม่น้อยเลยนะ

แน่นอนกาลเวลาที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ความคิด หรือความเชื่อของคนเปลี่ยนแปลง  ศิลปะที่มาในรูปแบบของความเชื่อ บางครั้งคุณค่าของมันอาจด้อยค่าลงในสายตาของผู้ที่มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน  แต่ในทางกลับกันก็สูงค่ามากในสายตาของผู้ที่เห็นด้วย และรู้คุณค่า  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความคิดในรูปแบบไหนถ้าตั้งอยู่ในความพอดี  เข้าใจความแตกต่างในความเชื่อส่วนบุคคล และเคารพในความต่างนั้น เราก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันก็คือเรื่องธรรมดาของการตีความแหละนะ

แต่ เราคิดว่ามันอาจจะดีต่อใจกว่าก็ได้  ถ้า เราจะลองมองศิลปะที่มากับความเชื่อ โดยแค่ใช้ “สายตา” และ”ความรู้สึก” ที่บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องตีความให้สลับซับซ้อน แค่รับรู้ถึงเรื่องราวนั้น  อย่างมีสติ  อาจไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรมากมาย  แค่รู้สึกถึงความงดงามของมันงดงามในเรื่องราว ในแง่มุมของมันเอง

 บางที “ศิลปะ” อาจมีคุณค่าในตัวมันเองโดยไม่จำเป็นให้ใครต่อใครตัดสินว่าอะไรควร “มีค่า”กว่าอะไรเลยก็ได้นะ

 เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็อาจมีแค่ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

- จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 11-14 -หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2559

- ตำนานพระธาตุและตำนานเมืองนครศรีธรรมราช กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2560

http://www.gotonakhon.com/?p=18329

 -https://db.sac.or.th/clipping/th/news/read/254007517

- http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/bitstream/123456789/419/1/ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช จากวรรณกรรมมุขปาฐะ.pdf

https://wikivisually.com/wiki/Namo

http://www.skyknowledge.com/pallava.htm

https://glosbe.com/sa/en/नमो नमः

https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2

ขอบคุณภาพจาก

- จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 11-14 -หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2559

http://www.skyknowledge.com/pallava.htm                         

https://www.sanook.com/horoscope/163653/


ไปเมาท์กันต่อได้ใน

https://www.facebook.com/PanchaliWriter/

 

 



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม