“ความฝันในหอแดง” วรรณกรรมอมตะ สู่การเล่าเรื่องผ่านการเต้นในรายการ Born to dance

 

“เรื่องจริงกลับกลายเป็นเรื่องแต่ง เมื่อเรื่องแต่งเป็นความจริง

ความจริงกลายเป็นเท็จ เมื่อ ความเท็จเป็นความจริง”

 จากการได้ติดตามศิลปินจีนคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “หลัวอีโจว” (Luo YiZhou) ทำให้เรามีโอกาสได้ดูการแสดงบนสเตจดีๆมากมายหลายแบบตั้งแต่ยังเขาเป็นเด็กฝึกในรายการแข่งขันค้นหาไอดอลอย่าง Youth with you 3 และหลังจากรายการจบ  ได้มาเป็นศิลปินเต็มตัว (วง IXFORM) ด้วยความสามารถอันล้นเหลือ เขาก็ได้ไปออกรายการเป็นแขกรับเชิญอยู่หลายรายการ แล้วก็มีหนึ่งในหลายๆสเตจที่ประทับใจเรามากๆจนอยากเล่าต่อ ก็คือ

 ลิงค์สำหรับรับชมสเตจ : https://www.youtube.com/watch?v=6BoybFbexnY

“พบกับความฝันในหอแดงอีกครั้ง” (Another Dream of the Red Chamber) เป็นสเตจการแสดงร่วมของศิลปินกับนักเรียนเต้น ในรายการ Born to dance (iQiqi) ซึ่ง เป็นรายการที่รวมนักเรียนเต้นมากฝีมือไว้ด้วยกัน มีการแสดงที่เป็นการเต้นหลากหลายรูปแบบ ซึ่งการแสดงที่จะเล่านี้เป็นการนำเอาวรรณกรรม “ความฝันในหอแดง”  (The Dream of the Red Chamber) ซึ่งเป็นวรรณกรรมอมตะสุดคลาสสิคของจีน ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในจีนพอๆกับ สามก๊ก  และไซอิ๋ว มาตีความใหม่

วรรณกรรมเรื่องนี้มีการนำไปทำเป็นละคร ซีรีย์  งิ้ว และสื่อหลากหลายรูปแบบมาก(ซึ่งเราไม่เคยดูเลยสักอย่าง55)  หลังจากที่เราวนดูคลิปการแสดงแบบมูฟออนไม่ได้ ก็เกิดความสนใจว่าอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้กันแน่  ก็เลยตัดสินใจไปหาวรรณกรรมเรื่องนี้มาอ่านซะเลย!

ความฝันในหอแดง (สปอยล์เนื้อเรื่อง)

อันที่จริงแล้ว “ความฝันในหอแดง” เป็นหนังสือที่ยาวมากๆ หลายเวอร์ชั่นที่เห็นเล่มบางลงหน่อยก็จะเป็น เวอร์ชั่นแปลที่นำมาเรียบเรียงใหม่อีกทีหนึ่ง ซึ่งเวอร์ชั่นที่เราได้อ่านเป็นเวอร์ชั่นที่แปลโดย  วรทัศน์ เดชจิตกร (2523)  วรรณกรรมเรื่องนี้ถูกเขียนในสมัยราชวงชิง โดยเฉาเสิ้นฉิ้น แต่ก็เสียชีวิตก่อนจะเขียนจบ บทหลังๆก็เลยมีคนเขียนต่อกันไปเป็นหลายเวอร์ชั่นอีก แต่เวอร์ชั่นที่ฮิตที่สุดเป็นเวอร์ชั่นที่เขียนต่อโดย เกาอู่

 เรื่องราวแกนหลักถ้าจะเล่าอย่างสรุปเข้าใจง่ายๆคือเป็นเรื่องความรักที่ไม่สมหวังของพระเอก(เจี้ยเป่าอี้) และนางเอก(หลินไต้อี้) โดยมีฉากหลังเป็นอภิมหึมามหาความดราม่า  เสียดสี ตีแผ่ ค่านิยมในสังคมศักดินาของเจ้าขุนมูลนายสมัยนั้น ที่เบื้องหน้าสวยหรูฟู่ฟ่า แต่เบื้องหลังฟอนเฟะ ก็เลยจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับความรัก เพราะอันที่จริงมันคือเรื่องของสังคม  เพียงแต่หลักๆแกนๆเลยก็จะวนเวียนอยู่กับพระเอก เราเลยถือเป็นโฟกัสหลักในการอ่านครั้งนี้

 ความเห็นส่วนตัวหลังจากอ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นวรรณกรรมที่อ่านเพลินเลยนะ แต่ความยากอยู่ที่พล็อตย่อยค่อนข้างเยอะ ตัวละครก็มากมายเป็นชื่อจีน  แล้วก็มียศถาบันดาศักดิ์ที่จำค่อนข้างยาก เราเลยไม่ได้อ่านอย่างละเอียดมากนัก  อันที่จริงถึงจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเสียดสีสังคมแต่ก็มีความแฟนตาซีอยู่เบาๆ  ก็คือจะมี ภาคสวรรค์ด้วย!

 เรื่องของเรื่องคือพระเอกเคยเป็น “ก้อนหิน” ที่เหลืออยู่ก้อนสุดท้ายจากการบูรณะพระราชวังบนสวรรค์ เทวีบนนั้นสงสารก็เลยเสกให้มีชีวิต  พอมีชีวิตก็เลยไปเที่ยวเล่นรอบๆก็ได้เจอนางเอกซึ่งเป็น “ดอกไม้สวรรค์” พระเอกเห็นก็ชอบเลยคอยเฝ้าเอาน้ำค้างมารดให้จนดอกไม้สวรรค์โตกลายเป็นเทพธิดาแสนสวย  นางเอกเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ก็ซึ้งมาก อยากทดแทนบุญคุณแต่ก้อนหินไม่ต้องการน้ำค้างเพื่อมีชีวิต  ก็เลยดิวกันว่างั้นเราไปทดแทนบุญคุณกันชาติหน้า ข้าจะตอบแทนท่านด้วยน้ำตาแทน!

 ก็เลยพากันไปขอนักพรต ว่าจะขอไปเกิดบนโลกมนุษย์ รู้ว่าชีวิตอาจวุ่นวายแต่อยากลองดู นักพรตก็เลยเปลี่ยนพระเอกก้อนหินให้เป็น ก้อนหยกก่อน เพื่อเพิ่มมูลค่า ก่อนจะไปเกิด  พอไปเกิดก็ได้อยู่ในตระกูลไฮโซเป็นพระญาติกับพระสนมเอก คลอดออกมาก็อมหยกนั้นมาด้วย  ก็เลยกลายเป็นเครื่องรางของพระเอกไปโดยปริยาย

 พระเอกมีชื่อว่า “เจี้ยเป่าอี้”  นางเอกชื่อว่า  “หลินไต้อี้” แล้วก็มีนางรองคือ “เซี่ยเป่าไซ้” จริงๆมีตัวละครเด่นๆเยอะพอสมควรแต่ขอเล่ารวมๆตามเส้นเรื่องแค่นี้แล้วกัน ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสามคนนี้ ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแหละ หลินไต้อี้ตอนแรกแม่ตาย ก็เลยมาที่บ้านพระเอกมาอยู่กับยาย พักนึงต่อมาพ่อตายก็เลยได้อยู่ยาว ด้วยความที่อยู่ด้วยกันนานโตมาด้วยกัน แถมด้วยเรื่องราวชาติที่แล้วต่างๆนาๆเจี้ยเป่าอี้ ก็เลยรักกับหลินไต้อี้ไปโดยปริยาย  ส่วนเซี่ยเป่าไซ้ก็จะเป็นทำนองเดียวกันก็คือที่บ้านไม่ค่อยโอเคเลยมาอยู่บ้านญาติที่ฐานะโอเคกว่า ทั้ง 3 คนก็เลยอยู่ด้วยกันสนิทกันแบบว่าเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงหมด

 คาแรกเตอร์ของเจี้ยเป่าอี้ จะเป็นแนวเก่งฉลาด แต่เจ้าสำราญชอบหมกตัวอยู่กับสาวใช้ (ซึ่งก็มีสาวใช้เป็นกิ๊กอยู่คนนึง)อะไรประมาณนั้น  ส่วนหลินไต้อี้แน่นอนว่าสวยขาดใจแต่ขี้งอน แล้วก็ค่อนข้างจะถือยศถือศักดิ์หน่อย ซึ่งคาแรกเตอร์ของทั้งพระเอกนางเอกเป็นเหมือนภาพสะท้อนของหนุ่มสาวในสังคมชนชั้นสูงในสมัยนั้น คือถามว่าดูเก๋กู๊ดมั้ยก็อาจใช่ แต่นิสัยก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้น

 ส่วนเซี่ยเป่าไซ้จะเป็นญาติที่แก่กว่าพระเอกนิดหน่อยจะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่า ไม่ค่อยถือยศ ใจเย็นและรู้อะไรควรไม่ควรมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ก็พระ-นางเขาชอบกัน  ทำอะไรก็ไม่ค่อยอยู่ในสายตาเท่าไหร่

 และสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นโศกนาฏกรรมรักก็คือ พระเอกถูกแม่หลอกให้แต่งงานกับเซี่ยเป่าไซ้ (เพราะนางเอกเป็นโรค แม่ไม่ปลื้ม)โดยคิดว่าเป็นนางเอก  ส่วนหลินไต้อี้นางเอกตัวจริงคือเป็นวัณโรคปอด ตายในวันแต่งงานของพระเอกไปเลยจ้า! (ดราม่าหนักมาก)

 ซึ่งระหว่างนี้จริงๆก็มีเรื่องราวมากมาย หยกพระเอกหาย   ไม่สบายจิตหลุด  จนต้องเชิญนักพรตมา   นางเอกตายแล้วพระเอกก็ยังต้องไปสอบราชการตามใจแม่  เซี่ยเป่าไซ้ท้อง บลาๆๆ  ท้ายที่สุดคือผลสอบออกมาว่าสอบติด แต่แม่ก็ช็อคเพราะลูกชายได้เททุกอย่างแล้วจ้า  ลูกสอบเสร็จแล้วไม่กลับบ้าน บวชเป็นพระไปเลย  จบ! ToT

 ตอนอ่านคือเอาจริงๆเนื้อเรื่องก็ชวนลุ้นอยู่ แต่คือเราไม่ได้รู้สึกอยากเอาใจช่วยใครเลย! เพราะแต่ละคนมันก็มีเรื่องให้น่าหมั่นไส้อ่ะ จะว่าไปก็คือตัวละครมีความเรียลค่อนข้างสูง55 แต่เราคิดว่าพอมีการไปสร้างเป็นซีรีย์หรืออะไรต่างๆ ก็จะมีการบิดคาแรกเตอร์เล็กน้อยให้มีความน่าเอาใจช่วย หรือเป็นพระนางในอุดมคติขึ้นสักหน่อยเพื่ออรรถรสในการชมของผู้ชมแต่ละยุคก็ถือว่าโอเคนะ

 เนื้อหาหลังจากนี้จะเป็นการตีความในมุมมองของเรา จากการที่ได้อ่านตัววรรณกรรม(เวอร์ชั่นสรุป)มาและความเข้าใจของเราเองทั้งหมดนะ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดแบบไหนของใครผิด ยังไงเราก็มองว่าการเสพงานศิลปะเป็นการตีความส่วนบุคคลอยู่แล้วไม่มีถูกผิดเป็นพิเศษ เพียงแค่เราอยากจะมาแชร์ความเห็นในมุมมองของเรานะ

 คืนปาร์ตี้ดอกบ๊วยบาน

ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าสเตจในรายการน่าจะเป็นการอ้างอิงถึงตอนหนึ่งในวรรณกรรมเรื่องนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เป็นวันดอกบ๊วยบาน  มีการจัดงานปาร์ตี้ตามประสาสังคมไฮโซ  แล้วพระเอกรู้สึกว่าเหนื่อยละขอไปพัก ตอนที่หลับไปก็ฝันว่าได้ไปในสถานที่สวยงามหรูหรา ได้ยินเสียงเพลงลอยมา แล้วก็ได้เจอกับเทวีองค์หนึ่ง(คนเดียวกับสมัยยังเป็นก้อนหิน) พาเดินไปรอบๆ บอกว่าเพลงที่ได้ยินนี้ ชื่อว่า  “ความฝันในหอแดง” ระหว่างนี้ก็มีบทกวีที่มีนัยยะต่างๆมากมาย แล้วก็เดินไปหยุดที่หน้าประตูปราสาทบานหนึ่ง

 


พอเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปก็ได้ไปเจอกับสมุดภาพที่เป็นเหมือน กำหนดชะตาชีวิตของบรรดาหญิงสาว 12 คนซึ่งก็ยังคงเต็มไปด้วยบทกวีปริศนาที่พระเอกไม่เข้าใจอยู่ดี ส่วนเทวีก็คอยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องกิเลสตัณหา ชะตากรรมของผู้หญิงต่างๆนาๆ ซึ่งพระเอกก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี(โถๆ) ต่อมาก็ได้พบกับเทพธิดามากมาย(ซึ่งเป็นเหมือนพี่น้องของนางเอกสมัยยังเป็นดอกไม้บนสวรรค์) แล้วก็มีงานปาร์ตี้เล็กๆในฝัน มีการดื่มชา สุรา ร้องรำทำเพลงต่างๆ แล้วก็ได้พบกับสาวนางหนึ่งที่เทวีมอบให้และได้แต่งงานร่วมหอกัน (ในหนังสือเวอร์ชั่นที่เราอ่าน ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าหญิงสาวนางนั้น เฉพาะเจาะจงเป็นใคร)

 แต่แล้วพอตื่นมาตอนเช้ากลับพบว่าตัวเองได้ตกลงไปในดงหนามแล้วก็มีสัตว์ร้ายตามไล่ มีทะเลมากั้น หนีไปไม่ได้ และ คลื่นกำลังจะซัดเข้าใส่! แต่ในที่สุดเขาก็ตื่นจากฝันนั้น  ซึ่งก่อนจะตื่น เทวีก็ได้เตือนว่า ให้หยุด  ก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้!

 Collaboration Stage : Another Dream of the Red Chamber

 

 

มาพูดถึงเรื่องราวการนำเสนอในส่วนของสเตจในรายการบ้าง เราคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจในการเล่าเรื่องของสเตจนี้คือ เป็นสเตจที่มีเรื่องราวที่ผ่านการตีความวรรณกรรมคลาสสิคขึ้นมาใหม่ มีการเรียบเรียงให้ดูน่าสนใจ และน่าค้นหามากขึ้นในมุมมองของยุคปัจจุบันผ่านเพลงที่ใช้ และตัวละครหลักซึ่งก็คือพระเอก

 ในความรู้สึกของเรามองว่า การเล่าเรื่องของสเตจนี้เป็นเหมือนการสร้างเส้นเรื่องใหม่ขึ้นมาใหม่ เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องราวในยุคปัจจุบัน ตัวละครใช้ชีวิตในเมือง ท่ามกลางความวุ่นวายแต่มีชีวิตที่ว่างเปล่า ในขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงถึงเส้นเรื่องเดิมในวรรณกรรมที่เป็นที่รู้จักโดยพื้นฐาน(คนจีน) กันอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการเอาทั้งหมดของเรื่องมา แต่ยกมาแค่คอนเซ็ปต์ที่กินใจของผู้ชม อย่างเรื่องความรักที่ไม่สมหวังของพระเอกนางเอก (เพราะจริงๆเรื่องนี้มีหลายเรื่องราวที่ซ่อนอยู่นอกจากเรื่องความรัก) ซึ่งพอรวมกันกลับกลายเป็นว่าทั้งหมดดูเป็นเรื่องราวที่เล่าเรื่องเดียวกันได้ แต่ให้อีกรสชาติหนึ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน

 อันที่จริงหลังจากที่อ่านหนังสือเรื่องนี้ เราคิดว่า “ความฝันในหอแดง” ไม่ใช่ของง่าย  ต้องใช้การตีความค่อนข้างเยอะ หลายอย่างถูกซ่อนไว้ในบทกวี รวมถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริบทอย่างจีนโบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีค่านิยม หรือความซับซ้อนของภาษา ซึ่งเข้าใจได้เลยว่าที่จีนก็เลยมี สาขาที่เป็นการวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย( 红学 –Redology) แง่หนึ่งมันอาจดูเข้าใจยาก แต่อีกแง่มันก็คือความสนุกอันยิ่งใหญ่ของการตีความเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน

 


สำหรับเพลงประกอบที่มีเนื้อร้องในสเตจนี้มีอยู่ 2 เพลงด้วยกัน ซึ่งเรามองว่าเป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่องเลย  เพลงแรกเป็น เพลงป๊อบที่สื่อถึงปัจจุบัน คือ เพลง 治愈至于止于致郁  โดย 刘思 และอีกเพลงหนึ่งเป็นเพลงที่ร้องสไตล์โบราณหน่อยในสเตจจะแบ่งออกเป็น  2 ช่วงคือช่วงที่เปิดตัวนางเอก และฉากจบ ทั้งสองท่อนอยู่ในเพลงเดียวกันคือ เพลง 枉凝眉 โดย 龚玥 เรียกว่าเป็นเหมือนเพลงซิกเนเจอร์ของ”ความฝันในหอแดง”ก็ว่าได้ ซึ่งเราคิดว่าถ้าเข้าใจว่าเพลงสื่อถึงอะไร ก็น่าจะทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกในการแสดงนี้ยิ่งขึ้น เราก็เลยไปตามหาเนื้อเพลงอยู่นานเลย55

 

 สเตจเริ่มต้นด้วยฉากเปิดตัวของหลัวอีโจว รับบทเป็น “เจี้ยเป่าอี้” พระเอกของเรื่องนี้ เป็นการยืนด้วยขาเดียวเอียงไปเอียงมา ให้ความรู้สึกของความไม่มั่นคง ฉากหลังเป็นตึกสูง และมีเสียงรถวิ่งไปมา เป็นช่วงที่เล่าถึงชีวิตปัจจุบัน  การยืนอยู่หน้าประตูไม้  ในความเห็นของเรามองว่านอกจากจะเป็นการอ้างถึงตอนนึงในบทประพันธ์แล้ว  สัญลักษณ์ของประตูอาจหมายถึง ความไม่รู้ หรือการถูกปิดกั้นไว้  แล้วเพลงก็เริ่มร้องว่า

 

การเยียวยาตัวเองมันจะหยุดอยู่ที่การซึมเศร้าหรือเปล่า

คำถามนี้จะมีเพียงความโดดเดี่ยวที่เป็นคำตอบ

เธอคนนั้นอยู่ที่ไหนกันนะ  ชีวิตมันช่างผ่านไปด้วยความว่างเปล่า

 ก็เลยเข้าใจได้ว่า เจี้ยเป่าอี้ในเวอร์ชั่น 2021 นี้เป็นผู้ชายคนเมืองที่โดดเดียวคนหนึ่ง และเขารู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่ามาก เหมือนมีใครคนหนึ่งที่เขายังตามหาไม่เจอ 

 


 ตามมาด้วยฉากหลังเปลี่ยนเป็นภาพนกบิน พร้อมกับเขาที่ทำท่าเดียวกันด้วย  เราคิดว่า นก อาจสื่อได้ถึงความเป็น “อิสระ” ที่ทั้งเจี้ยเป่าอี้คนเมือง และเจี้ยเป่าอี้ในบทประพันธ์ที่ถูกครอบงำด้วยขนบของระบบศักดินาโหยหา  

ในขณะเดียวกันก็อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของ “ช่วงเวลา”ซึ่งจะใช้เชื่อมไปถึงฉากในอดีต พร้อมๆกับ เสียงเพลงที่เปลี่ยนเป็นสไตล์จีนจากวิทยุ ซึ่งก็อิงมาจาบทประพันธ์ถึงช่วงที่พระเอกหลับฝันและได้ยินเสียงเพลง ความฝันในหอแดง นอกจากนี้เรามองว่าการกลับไปในเส้นเรื่องของอดีตอาจไม่ใช่เพียงแค่การหลับฝันเพียงอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงการระลึกชาติของพระเอกได้ด้วย เพราะเรารู้สึกว่าในหนังสือค่อนข้างให้ความสำคัญของการจำ หรือการลืมเรื่องราวในอดีตอยู่เหมือนกัน อย่างมีตอนนึงที่บอกว่า “การลืมคืออิสระ อิสระคือการลืม” เป็นแนวคิดนึงในลัทธิเต๋า ซึ่งก็โยงไปได้ถึงนก ได้เหมือนกัน

 

ผู้หนึ่งคือดอกไม้แห่งสวรรค์

ผู้หนึ่งคือหยกล้ำค่าปราศจากมลทิน

หากท่านกล่าวว่ารักไม่มีอยู่จริง

ข้าจะได้พบเขาอีกครั้งในชีวิต


เป็นท่อนนึงในเนื้อเพลงที่ใช้เปิดตัวน้องผู้หญิงที่แสดงเป็น “หลินไต้อี้” นางเอกของเรื่อง ถือเป็นการเล่าเท้าความถึงเรื่องราวในอดีตชาติของหลินไต้อี้ ที่เคยเป็นดอกไม้บนสวรรค์  และเจี้ยเป่าอี้ที่เคยเป็นก้อนหินและเปลี่ยนสภาพเป็นหยก ก่อนจะมาเกิดเป็นคน 

 หลักจากนั้นก็เริ่มเป็นการเล่าเรื่องการเดินเข้ามาในเมืองแห่งความฝันนี้ของพระเอก  ฉากกั้นที่มีรูปวาดผู้หญิงอยู่บนนั้น เราคิดว่าน่าจะสื่อถึงสมุดภาพปริศนาที่กำหนดชะตาชีวิตของผู้หญิงที่เล่าไว้ในบทประพันธ์ แต่ละภาพก็เป็นเหมือน “ภาพชีวิต” ของผู้หญิงในสมัยนั้นที่ชีวิตเกิดมาก็เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วไม่ได้มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตมากนัก

 

 แล้วดนตรีก็เริ่มเปลี่ยนไปในลักษณะเหมือนก้าวข้ามผ่านอีกมิตินึง พระเอกก็โผล่มาจากหลักฉากอีกครั้ง ตอนนี้ก็คือจะเริ่มเล่าถึงตอนที่เจี้ยเป่าอี้เข้ามาอีกห้องเจอกับ เทพธิดาสาวงามทั้งหลายแล้วก็เริ่มร้องรำทำเพลงกัน  อยากบอกว่าท่าเต้นหมุนตัวแล้วก็แลนด์ดิ้งแบบกลีบดอกไม้กระจายของหลัวอีโจวนี่เป็นอะไรที่เราประทับใจมากเลยจริงๆ มันให้ความรู้สึกของการหลุดมิติจริงๆอ่ะ เหมือนเป็นการระลึกชาติที่ได้กลับมาในสถานที่เดิมอะไรทำนองนั้นเลย 


แล้วก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์  ที่พระเอกนางเอกอยู่ด้วยกันระหว่างฉากกั้น  ก็คือเป็นตอนที่ทั้งสองได้แต่งงานกันในความฝัน แต่ในฝันพระเอกไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร (ตอนอ่านหนังสือเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน) สังเกตได้จากท่าเต้นที่พระเอกหลับตาเหมือนอยู่ในความฝันตลอดเวลา ซึ่งในหนังสือก็อธิบายไว้ว่าเจี้ยเป่าอี้มีความสุขกับดินแดนนี้มากจนรู้สึกว่าถ้าได้อยู่ตลอดไปก็ดี

แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตื่นอยู่ดี ดนตรีก็กลับมาเป็นเสียงร้องสไตล์จีนจากวิทยุเพลงเดิม

 

‘ …หากรักนั้นมีอยู่จริง จะหักห้ามใจไว้ได้อย่างไร…’

 เจียเป่าอี้ในบทประพันธ์ กลับมาเป็นเจียเป่าอี้คนเมืองอีกครั้ง ฉากหลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน เขาหยุดอยู่หน้าประตูบานเดิมแต่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป  ฉากนี้เป็นฉากที่เราชอบที่สุดแล้วก็ขนลุกมากๆในการแสดงออกของหลัวอีโจว เราคิดว่าเขาเป็นเจี้ยเป่าอี้เวอร์ชั่น 2021 ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เราก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกโหยหาคนรัก คิดถึง และอาลัยอาวรณ์ได้ภายในไม่กี่วินาทีเลยอ่ะปรบมือให้มากๆ

 

ท้ายที่สุดเจี้ยเป่าอี้เวอร์ชั่น 2021 ก็ได้แสดงออกมาว่าเขาสามารถจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว ผ่านการเปิดประตูออกมา เป็นฉากกันภาพผู้หญิงเป็นการเฉลยไปในตัวว่า ความฝันในหอแดงเวอร์ชั่นนี้ ตีความว่าผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับเขาในฝันนั้น ก็คือ หลินไต้อี้  สังเกตได้จากการมีสาวใช้อยู่ในภาพวาดด้วย เพราะว่าในบทประพันธ์ หลินไต้อี้จะมีสาวใช้คนหนึ่งดูแลตลอด เพราะว่าเธอสุขภาพไม่ดี ซึ่งสาวใช้คนนี้ก็อยู่ดูแลเธอจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

 อีกอย่างหนึ่งที่เราสังเกตคือ เรื่องราวของฉากกั้น เราคิดว่าเขาอาจจะใช้ฉากกั้นนี้ในการเล่าเรื่องไปในตัวด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นตอนฉากเข้าหอ ที่ฉากกั้นทุกฉากมาเรียงกัน เหลือแค่ช่องตรงกลางที่หายไป แต่เป็นหลินไต้อี้ กับเจี้ยเป่าอี้กำลังเต้นแทน  และในฉากสุดท้ายประตูนั้น ก็เปิดออกมากลายเป็นฉากกั้นที่เป็น “ภาพชีวิต” ของนางเอกอีกภาพหนึ่งที่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันอ่ะ  อันที่จริงแล้วหลินไต้อี้ก็เป็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่สามารถกำหนดเส้นทางของชีวิตตัวเองได้เหมือนกัน เราคิดว่ามันเป็นการคิดพล็อตและออกแบบเวทีได้ดีมากๆและน่าประทับใจจริงๆ ...และสเตจก็จบลงตรงที่ เจี้ยเป่าอี้เดินหายไปหลังประตูอีกครั้ง ทิ้งเรื่องราวทั้งหมดนี้ไว้เบื้องหลัง


เราคิดว่าการแสดงที่ดี คือการที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอเข้าไปได้ถึงจิตใจของคนดู ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หลัวอีโจวจริงใจกับสิ่งนี้ และทำได้ดีเสมอมา  เราดีใจมากๆที่ได้มีโอกาสเห็นศิลปินที่ชอบได้ทำในสิ่งที่รัก และสร้างผลงานอันน่าประทับใจที่ดูซ้ำได้ไม่รู้เบื่อ 

นอกจากนี้การแสดงในสเตจนี้ทำให้เราได้เห็นวรรณกรรมเรื่องเดียวกันในอีกมุมมองหนึ่งเป็นเหมือนการจุดประกายเล็กๆให้เด็กรุ่นใหม่ได้หันมาสนใจวรรณกรรมอมตะเรื่องนี้อีกครั้ง มันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดเกิดกระแสในวงกว้าง แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้แฟนๆจากต่างประเทศอย่างเราได้ตื่นเต้นกับการเรียนรู้ครั้งใหม่นี้

 ในความรู้สึกของเรา แม้ว่าวรรณกรรมเรื่องนี้อาจไม่ใช่วรรณกรรมที่อ่านแล้วสนุกตื่นเต้นจนวางไม่ลง แต่มันก็มีคุณค่ามากพอที่จะให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้จากเรื่องราวเหล่านั้น เป็นการตีความที่ไม่รู้จบ และสะท้อนสังคมได้แทบทุกยุคทุกสมัย เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ายังไง ศิลปะ ก็มีค่าในตัวของมันเองเสมอ...

 

ปล. คำแปลเพลงเราแปลมาจากอังกฤษอีกทีความหมายอาจไม่เป๊ะมากนะคะ สำหรับใครอยากฟังเพลงประกอบ เท่าที่เรารู้เราแปะไว้ข้างล่างนี้

 https://www.youtube.com/watch?v=2eap5bqSZks&list=RDMM&start_radio=1

https://www.youtube.com/watch?v=uv-0EZcUeKk

https://www.youtube.com/watch?v=SBfoWTB-T_U

 

ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณ​มากๆนะคะ ​การแสดงนี้ดีมากๆเลยค่ะ เนื้อหาที่เขียนทำให้เข้าใจเรื่องราวมากขึ้น

    ตอบลบ
  2. ดูการแสดงนี้แล้วประทับใจมากจริงๆครับ มีความรู้สึกหลากหลายซ้อนทับกันไปมา ทว่าก็กระจ่างแจ้งเมื่อผ่านการแสดงของหลัวอีโจว ขอบคุณบทวิเคราะห์อีกครั้งนะครับ ทำให้เข้าใจในแต่ละฉายได้มากขึ้นด้วย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณนะคะ เป็นโชว์ที่ดีมากค่ะ ^^

      ลบ
  3. pg slot secret formula techniques or secret formulas for playing slots are simple, not complicated from pg slot, secret formulas, there is a method to play that has a systematic system, PG slots , to play slots games to have fun that must be played with real money

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม