บทกวีแด่เทพธิดาแม่น้ำลั่ว สู่การร่ายรำบนผืนน้ำ

 

เมื่อไม่นานมานี้เรามีโอกาสได้ดูรายการวาไรตี้เชิงวัฒนธรรมของจีนรายการหนึ่ง ชื่อว่าGlory is back” ฉายทางแพลตฟอร์มออนไลน์อ้ายฉีอี้(iqiyi) ความดีงามที่นอกเหนือจากการได้ตามศิลปินที่ชอบ (หลัวอีโจว เจ้าเก่าเจ้าเดิม)คือคอนเซ็ปต์ของรายการก็ดีมากๆ เป็นการเผยแพร่ประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมของจีนให้กับคนรุ่นใหม่ได้รู้จัก ในรูปแบบที่น่าสนใจ

 


ไม่ว่าจะเป็นการแสดงบทบาทสมมุติ การเต้น หรือการทำเวิร์คช็อปเล็กๆผ่านไอดอลที่กำลังเริ่มเป็นที่นิยม ซึ่งรายการในซีซั่นนี้เป็นนำเสนอเรื่องราวเมือง "ลั่วหยาง" (Luòyáng) เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์หลายพันปี เคยถูกใช้เป็นเมืองหลวงอยู่หลายราชวงศ์ แต่แอบเสียดายที่ทางแพลตฟอร์มยังไม่มีซับไตเติลไทยให้ได้อ่านกัน การรับชมเลยอาจทุลักทุเลนิดหน่อย

 ซึ่งตอนที่มีเรื่องราวน่าสนใจจนเราอยากไปหาอ่านต่อคือ  Ep 5 ที่มีการเล่าถึงเรื่องราวของ "เทพธิดาแม่น้ำลั่ว" ซึ่งในรายการก็ได้มีการแสดงการร่ายรำในแบบฉบับของจีนที่ตีความมาตามภาพวาดในชื่อเดียวกันได้กินใจมากๆเลย

ทีนี้ลองมาทำความรู้จักกับเรื่องราวนี้กัน

 

  นักกวีเฉาจื๋อ 

  เรื่องราวจากภาพวาดเทพธิดาแม่น้ำลั่วที่รายการมานำเสนอนี้ อันที่จริงแล้วเป็นการตีความมาจากบทกวีอันโด่งดังเรื่องหนึ่งชื่อว่า "ลั่วเฉินฟู่ (Luo Shen Fu- the Ode to the Goddess of the Luo River)" หรือ "บทกวีแด่เทพธิดาแม่น้ำลั่ว" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ไม่มีทางจะบรรจบกันได้ระหว่างมนุษย์ กับเทพธิดา เขียนขึ้นโดย "เฉาจื๋อ"(Cao zhi-จีนกลาง) ซึ่งในไทยรู้จักกันในชื่อ โจสิด เป็นลูกชายของ "เฉาเชา" (Cao Cao)หรือ โจโฉ ซึ่งเป็นตัวละครที่เราคุ้นหูดีจากวรรณกรรมเรื่อง "สามก๊ก"

 


งั้นเรามาพูดถึงเรื่องยุคสมัยกันสักหน่อย สามก๊กที่เรารู้จักกันถือเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์อีกเรื่องนึงที่เขียนขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง (จริงๆสามก๊กก็มีหลายเวอร์ชั่นเขียนกันมาตั้งแต่ราชวงศ์หยวนถึงราชวงศ์ชิง)โดยมีตัวละครที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์  แต่เรื่องราวในวรรณกรรมกับบันทึกทางประวัติศาสตร์แต่ละเล่มจะตรงกันแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งล่ะ

 โดยรวมคือเป็นเรื่องราวการแย่งชิงอำนาจ สู้รบชิงไหวชิงพริบกันในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นที่บ้านเมืองแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า เรียกยุคนั้นว่า ยุคสามก๊ก  แบ่งออกเป็น  ก๊กเว่ย ของเฉาเชา (โจโฉ)   ก๊กสู่ ของหลิวเป้ย(เล่าปี่) และก๊กอู๋ ของซุนฉวน(ซุนกวน)

 โอเคทีนี้เป็นอันรู้กันว่าเรื่องราวต่างๆในที่นี้ก็จะอยู่ในฟากของเฉาเชา(โจโฉ)ล่ะ

  (สารภาพว่าตอนเด็กๆเรียนเรื่อง 3ก๊ก เวอร์ชั่นแปลโดยเจ้าพระยาคลังหน เราไม่ค่อยรู้เรื่องเลยจริงๆ แล้วก็ไม่เคยได้ลองอ่านทั้งเรื่องอีกรอบเลย  การเมาท์ครั้งนี้คือการรวบรวมข้อมูลมาจากแค่บางส่วนที่เกี่ยวกับบทกวีเรื่องนี้เท่านั้นเองน้า)

 เฉาเชา(โจโฉ) มีลูกชายที่เป็นที่รู้จักป๊อบปูลาร์มากอยู่2คน คือ เฉาพี (โจผี)ลูกชายคนที่2  และเฉาจื๋อ(โจสิด) เป็นลูกชายคนที่ 3 ส่วนลูกคนแรกเสียชีวิตไปก่อนแล้ว

 เฉาจื๋อ(โจสิด)เป็นคนเก่งและฉลาดมากมีความสามารถทางด้านภาษาชนิดที่เข้าขั้นอัจฉริยะ คือจำบทกลอน บทกวียากๆ และแต่งเองได้ตั้งแต่เด็กๆแต่ด้วยความรักอิสระแบบศิลปิน และทำตัวสำมะเลเทเมาบ้างประปรายก็เลยอาจจะมีช่วงดึงความ ดราม่าชีวิตผกผันในบางช่วง 

 ผลงานของเฉาจื๋อขึ้นชื่อในเรื่องของ ความงดงามทางภาษามีการบรรยายที่กินใจ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมของจีนมากๆ


  ผลงานที่ฮิตฮอตคือ "กวี
7 ก้าว" เป็นช่วงที่เฉาพี(โจผี) ผู้เป็นพี่ชายขึ้นครองราชย์แล้วต้องการกำจัดเฉาจื๋อน้องชายที่เป็นเหมือนคู่แข่งทางการเมือง เฉาจื๋อจึงได้มีการแต่งกวีที่พูดถึงความเป็นพี่น้อง ภายในเวลาการก้าวเท้าเพียงเจ็ดก้าว จนเฉาพีสะท้อนใจและล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าน้องไป

                                     เถาถั่วเผาต้มถั่ว   ร่ำระรัวถั่วในกระทะ

                                      ร่วมรากเกิดแล้วจะ  เร่งโรมรันกันทำไม

 ในส่วนของ "ลั่วเฉินฟู่ - บทกวีแด่เทพธิดาแม่นำลั่ว" เองก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังให้พูดถึงอยู่ไม่เบา ตามประสาเรื่องราวที่มีมายาวนานก็ย่อมจะมีตำนาน เรื่องเล่าบันทึกต่างๆอยู่มากมายหลายเวอร์ชั่น  มีเวอร์ชั่นหนึ่งที่ค่อนข้างฮิตกันกล่าวไว้ว่า เบื้องหลังบทกวีแฟนตาซี-ดราม่าของเฉาจื๋อเรื่องนี้ ที่จริงแล้วอาจเป็นการเล่าเป็นนัยๆถึงความรักของตัวเองที่มีให้กับพี่สะใภ้!

 ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องย้อนไปสมัยที่เฉาเชา(โจโฉ)ครองราชย์ พี่แกก็มีคู่ปรับกันอยู่คนหนึ่ง ก็รบกันจนชนะ แล้วได้ภรรยาของฝ่ายที่แพ้มาอยู่ในความดูแลตามธรรมเนียม แม่นางคนนั้นชื่อว่า "เจิ้นฝู" แม่นางคนนี้อันที่จริงก็คือทั้งเฉาเชา  เฉาพี และเฉาจื๋อต่างก็ชอบนางกันหมดแหละ และเหมือนนางก็จะมีความแอนเอียงมีใจให้เฉาจื๋ออยู่ด้วยเบาๆ  แต่ไปๆมาๆเฉาเชาก็ดันยกแม่นางเจิ้นฝูนี้ให้แต่งงานเป็นภรรยาของเฉาพีไปซะงั้น!

 ฐานะระหว่างเฉาจื๋อและเจิ้นฝูจึงกลายเป็น น้องสามี-พี่สะใภ้ไปโดยปริยาย เมื่อเฉาพีขึ้นครองราชย์ เจิ้นฝูก็ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาตามลำดับ...แล้วความดราม่ามากกว่านั้นก็บังเกิด ก็คือฮองเฮาเจิ้นฝูเสียชีวิต! ซึ่งการตายของนางก็เป็นปริศนามาก มีบันทึกมากมายหลายเวอร์ชั่น หนึ่งในนั้นคือ นางมีรำข้าวจุกที่ปาก ผมปรกหน้า และถูกหามออกไป! เป็นการตายอย่างอนาถและน่ากลัวเอาเรื่องอยู่ ก็คือสรุปว่าก็ไม่ได้ตายปกติล่ะ!

 นอกจากนี้มีบันทึกบางเวอร์ชั่นเล่าว่าหลังจากลูกชายของฮองเฮาเจิ้นฝูขึ้นครองราชย์ก็ได้มีการมอบหมอนของนางให้กับเฉาจื๋อ เพราะรู้ว่าสองคนนี้ชอบกัน(ถือเป็นตำนานที่ขยี้ประเด็นรักสามเส้าได้หนักหน่วงทีเดียว!)

 ใดๆก็ตามหลังจากเจิ้นฝูตาย  ช่วงเวลาไม่นานเฉาจื๋อก็ได้แต่งบทกวี ลั่วเสินฟู่ขึ้น 

 

บทกวี ลั่วเฉินฟู่ โดย เฉาจื๋อ

 กลอนรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า"ฟู่"(Fu)นี้ มีขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น ให้อารมณ์เหมือนเป็นร้อยแก้วที่มีฉันท์ลักษณ์ มีจังหวะจะโคน จะเด่นเรื่องการบรรยายความงามต่างๆ และในยุคหลังๆก็เริ่มมีการบรรยายถึงอารมณ์ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น

 


อันที่จริงแล้วตำนานเทพธิดาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำลั่วก็เป็นตำนานที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น น่าจะให้อารมณ์แบบนิทานปรัมปราในสมัยนั้น แต่เรื่องราวก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับบทกวีในเวอร์ชันของเฉาจื๋อ

 ผลงานของเฉาจื๋อชิ้นนี้เป็นเหมือนแค่หยิบยกแรงบันดาลใจที่ได้จากตำนานที่ตัวเองเคยได้ยิน มาสร้างสรรค์เป็นผลงานแบบฉบับของตัวเอง พูดให้ดูวัยรุ่นหน่อยก็เป็นสไตล์แต่งแฟนฟิคชั่นขึ้นซะใหม่ เอาตัวเองเป็นหนึ่งในตัวละครในเรื่อง มีการได้พบรักกับเทพธิดาที่แม่น้ำลั่ว ซึ่งก็กลายเป็นเวอร์ชั่นที่ปังมากๆเลย!


  ต้นฉบับบทกวีเรื่องนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 บท เรื่องราวเริ่มต้นที่ รัชสมัยหวงชู ปีที่3 (หลังจากพระนางเจิ้นฝู มเหสีของเฉาพีเสียชีวิต ในปีเดียวกันเฉาจื๋อก็ได้เลื่อนขั้น เลยเข้าเมืองมา) ขากลับจะกลับไปยังเมืองจ้วนเฉิง (Juancheng) ที่ตัวเองดูแลอยู่ ก็ผ่านแม่น้ำลั่ว ระหว่างที่พักให้ม้ากินน้ำอยู่ ก็เห็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งอยู่อีกฟากของผาหิน ก็เลยถามสารถีว่า นายเห็นผู้หญิงสวยคนนั้นเหมือนกันรึเปล่า?

 สารถีก็บอกว่าก็ไม่เห็นนะ แต่ที่เห็นก็น่าจะเป็นเทพธิดาแม่น้ำลั่วล่ะ (ชื่อนางคือ “ฝูเฟย” เป็นอักษร “ฝู” ตัวเดียวกับเจิ้นฝู เลยอาจเป็นเหตุผลนึงที่มีการตีความว่าเป็นบทกวีที่อาจมีนัยถึงฮองเฮาเจิ้นฝู) สารถีก็เลยให้เฉาจื๋อช่วยอธิบายลักษณะมาให้ฟังหน่อย

 เฉาจื๋อก็เลยสาธยายมายาวมาก เป็นการอธิบายความงามของผู้หญิงได้แบบไปสุดเบอร์มากคือมาในทุกอย่างของโลกใบนี้ อย่างเช่น รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเหมือนห่านบิน สง่างามเหมือนมังกรกำลังว่ายน้ำ คอสวย ใบหน้างดงามแบบไร้เครื่องประทินโฉม ฯลฯ ก็เป็นอันสรุปได้ว่าสวยมากๆ ดีไปหมดทุกอย่าง และหลงรักทันที!

  ชมไป ก็พยายามบอกรักผ่านไป  ในส่วนของเทพธิดาแม่น้ำลั่วเองก็ชอบเฉาจื๋อเหมือนกันก็ได้มีการพูดคุยกันเล็กน้อย ช่วงนั้นก็เป็นเหมือนช่วงความรักผลิบานรอบตัวจู่ก็สวยงามขึ้นมาทันตา บรรดาสัตว์ก็ร้องรำทำเพลงมีความสุขตั้งแต่โลกไปยันสวรรค์เลยอะไรประมาณนั้น แล้วนางก็นัดแนะว่างั้นเราไปเจอกันใต้น้ำดีมั้ย ก็ชี้ๆนิ้วลงไปที่แม่น้ำ 


  เฉาจื๋อเห็นอย่างงั้นก็ลังเลกลัวโดนหลอก เพราะมีหลายตำนานที่เคยได้ยินคนมักจะโดนพวกนางไม้อะไรต่างๆหลอกไปตาย (คนลงไปอยู่ในน้ำมันจะรอดยังไงก่อน
!) น่าจะให้อารมณ์เหมือนตำนานกรีกที่จะมีนางไซเรนสาวสวยร้องเพลงสะกดจิตนักเดินเรือ แล้วก็จับกิน หรือไม่ก็เรือล่มไป  เพราะงั้นเฉาจื๋อก็เลยลังเลที่จะทำตาม

 เทพธิดารับรู้ถึงความลังเลของเฉาจื๋อ ก็รู้ว่าชะตาชีวิตคงไปทางเดียวกันไม่ได้  ก็เลยตัดสินใจจากไป โดยเฉาจื๋อก็ยืนอยู่บนน้ำมองเทพธิดาแม่น้ำลั่วค่อยๆจางหายไปในสายหมอก  เฉาจื๋อเสียใจอาลัยอาวรณ์เสียดายว่าไม่ได้ลงไปเจอกันใต้น้ำตอนที่เทพธิดาชวน ก็เฝ้ารอๆแต่ก็ไม่เจอเทพธิดาอีก จำใจต้องจากไปในตอนเช้า ก็ถือเป็นการจบเรื่องราวความรักของทั้งสองเพียงเท่านั้น


   นักวิชาการในยุคหลังๆก็ได้มีการวิเคราะห์เรื่องราวเบื้องหลังบทกวีลั่วเฉินฟู่อย่างจริงจังไปในหลากหลายทิศทาง พยายามหาความเป็นไปได้ของนัยที่เฉาจื๋ออยากจะสื่อผ่านเรื่องราวเหล่านี้ เช่น

 - อาจจะสื่อถึงความรักกับเจิ้นฝู อย่างที่เล่าไป ถือเป็นตำนานที่ฮิตที่สุด แต่ในบางข้อมูลก็แย้งว่าถ้าเทียบกันตามอายุแล้ว  เจิ้นฝูจะแก่กว่าเฉาจื๋อถึง 10ปี ในช่วงที่ได้เจอกัน เฉาจื่อก็อาจจะอายุแค่ 10กว่าปีเท่านั้นเอง

-สื่อถึงภรรยาของตัวเองที่ตายไป  แต่ก็หลายสิบปีมาแล้วก่อนที่จะมาแต่งลั่วเฉินฟู่

- อุปมาถึงโอกาสทางการเมือง ที่เมื่อโอกาสมาแล้วไม้คว้าไว้ก็ยากจะกลับคืน

 ยังไงก็ตาม...ก็คงไม่มีใครรู้อดีตเท่าอดีตเอง บางทีเราอาจทำได้เพียงแค่เรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านั้น และลองมองในมุมที่ต่างออกไป

  

ม้วนภาพวาด “ลั่วเฉินฟู่ถู - เทพธิดาแม่นำลั่ว” โดยกู้ไค้จื้อ

 


วันเวลาผ่านไปราวๆ70 ปี ในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ก็มีศิลปินผู้มีความสามารถชื่อว่า “กู้ไค้จื้อ” (Ku K’ai-chich)ได้มาพบกับบทกวีเรื่องนี้โดยบังเอิญโดยเพื่อนของเขาเป็นคนนำมาให้อ่าน

 กู้ไค้จื้อไม่ได้เป็นเพียงแค่จิตรกรธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงจิตรกรเอกแนวจินตนิยม(Romanticism)ที่รับราชการในราชสำนัก แถมยังมีความสามารถในการแต่งบทกวีด้วย ซึ่งก็มีบันทึกทางราชการว่า “มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ เป็นจิตรกรและคนบ้า

 พอกู้ไค้จื้อได้อ่านบทกวีของเฉาจื๋อ ก็เลยชอบมากตัดสินใจวาดภาพจากบทกวีที่อ่านนี้ เกิดเป็นภาพ “ลั่วเฉินฟู่ถู” (Luo Shen Fu Tu - Nymph of the Luo River)อันเลื่องชื่อ!

 


จิตรกรรมจีนที่มีการแสดงออกที่ใกล้ชิดกับวรรณกรรม โดยเฉพาะบทกวี จะถือว่าเป็น “กวีนิพนธ์ที่ปราศจากอักษร” ก็คือมีการเล่าเรื่องเทียบเท่าบทกวีบทนึงเลย นอกจากนี้ก็ยังเป็นการนำเสนอวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมรวมถึงความเชื่อในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีเลย

 ผลงานลั่วเฉินฟู่ถู  เป็นภาพวาดบนผ้าไหมเป็นแผ่นยาวๆสำหรับการเก็บแบบม้วน เวลาจะดูก็คลี่ออกในแบบที่จีนโบราณฮิตกัน  มีการจัดเรียงภาพเป็นส่วนๆตอนๆอย่างชัดเจนคั่นด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติ ต้นไม้ โขดหิน ต่างๆ คล้ายกับการเล่าเรื่องแบบการ์ตูนสมัยใหม่ที่จะมีการเล่าเรื่องต่อๆกันไปหลายรูปในหนึ่งภาพ ซึ่งในการวาดทิวทัศน์ในรูปแบบของกู้ไค้จื้อนี้ถือว่าเป็นต้นแบบในการพัฒนารูปแบบการวาดทิวทัศน์ในรุ่นต่อๆมาเลยทีเดียว

 


ความทรงคุณค่าของภาพนี้คือการที่ผู้วาดสามารถถ่ายทอดหัวใจของบทกวีเรื่องนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าบทจะแฮปปี้ก็ไปสุด พอจะเศร้าบรรยากาศทั้งหมดก็จะเศร้าไปด้วย ตัวละครในภาพก็ดูมีเลือดเนื้อและจับต้องได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่เข้าถึงใจของคนดูได้ง่ายด้วย

 


นอกจากนี้คือในสมัยที่กู้ไค้จื้ออยู่ลัทธิเต๋าเฟื่องฟูมาก และตัวเขาเองก็ศรัทธามาก การถ่ายทอดปรัชญาของเต๋าที่มีความให้ความสำคัญกับธรรมชาติก็เลยถูกนำเสนอออกมาอย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่ต้นฉบับจริงๆที่ถูกวาดด้วยปลายพู่กันของกู้ไค้จื้อได้สูญหายไปแล้ว! ฉบับที่เราได้ดูกันและเก็บไว้ตามพิพิธภัณฑ์เป็นฉบับสำเนา ที่มีการคัดลอกลายเส้นและรูปแบบของกู้ไค้จื้อในราวๆสมัยราชวงศ์ซ่ง มีทั้งหมด 4 สำเนา

 


ซึ่งการคัดลอกทำสำเนาภาพวาดของศิลปินชั้นครู ในบริบทของงานจิตรกรรมโบราณของจีนไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด แต่เป็นหนึ่งในธรรมเนียม “เคารพอดีต” ที่ศิลปินในรุ่นถัดๆไปจะได้เรียนรู้จากผลงานของศิลปินชั้นครู

 จิตรกรต้องผ่านการฝึกหัดใช้พู่กันมาเป็นอย่างดีเพื่อจะสามารถลอกเลียนลายเส้นของครูได้ ก็คือการจะวาดตามได้ในที่นี้ต้องตามได้ในระดับอารมณ์ความรู้สึก ลายเส้น ไปจนถึงจิตวิญญาณที่ศิลปินต้นฉบับทำไว้ก่อนแล้ว ถือเป็นการเรียนรู้ก้าวเท้าตามครู ไม่ต้องลองผิดถูกด้วยตัวเองอะไรทำนองนั้น

 คนที่ทำสำเนาภาพของศิลปินโบราณไว้ได้ก็จะถือเป็นศิลปินที่มีจิตสำนึกในการ “เคารพอดีต” ซึ่งสำเนาภาพเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เรายังได้เรียนรู้การสร้างสรรค์ผลงานโบราณได้เป็นอย่างดีเลย

 

การร่ายรำบนผืนน้ำ ในรายการ Glory is Back

 

                                            ลิงค์ สำหรับดูคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=BkW8W3sa-BY

                   

เรื่องราวความรักระหว่างเฉาจื่อและเทพธิดาแม่นำลั่วเป็นที่ฮิตฮอตกันมาหลายยุคหลายสมัย มีทั้งการนำไปแสดงเป็นงิ้ว  ทำเป็นอนิเมชั่น  และซีรีย์ที่เป็นที่รู้จักกันในปี2013  เรื่อง Legend of Goddess Luo แสดงโดยหยางหยางพระเอกชื่อดัง(แต่เรายังไม่เคยดูเลยสักแบบ ใครสนใจก็ลองไปตามกันดู) 

 ล่าสุดสำหรับการนำเสนอเรื่องราวนี้ในรายการ เป็นการเล่าเรื่องผ่านการเต้นบนผืนน้ำ ซึ่งเท่าที่อ่านเบื้องหลังมากว่าจะได้ภาพที่สวยงามให้เราชมนั้นนักแสดงและทีมงานก็ทำงานหนักมาก  เนื่องจากการเต้นบนน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงท่าที่เต้นต้องมีการหมุนตัวต่างๆนาๆ จึงต้องใช้แรงมากกว่าปกติในการเต้นเพื่อต้านกันแรงน้ำ

 


กว่าจะถ่ายทำเสร็จก็ปาไปหลายชั่วโมง... ซึ่งเรายอมรับเลยว่าพอมีนำ้เป็นองค์ประกอบทำให้การเล่าเรื่องดูสมบูรณ์ขึ้นจริงๆ เพราะบทกวีที่เล่ามาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำโดยตรง รวมถึงความเชื่อในลัทธิเต๋าซึ่งเฟื่องฟูในสมัยกู้ไค้จื้อก็ให้ความสำคัญกับน้ำและธรรมชาติ "น้ำให้ประโยชน์กับทุกสิ่งและไม่แก่งแย่งสิ่งใด..."

นอกจากนี้เวลาเต้นการกระจายตัวของน้ำก็ทำให้เกิดภาพที่สวยงามมากๆ  อีกอย่างหนึ่งที่อยากเล่าเพิ่มเติมซึ่งเรารู้สึกชื่นชอบเป็นการส่วนตัวและนึกขึ้นได้พอได้เห็นการแสดงนี้คือ ทฤษฎีที่บอกว่า "น้ำมีความทรงจำ" แม้ว่าอาจไม่ถึงกับเป็นความทรงจำที่มีรายละเอียดเท่ามนุษย์แต่น้ำสามารถจดจำความรู้สึกและพลังงานในแต่ละที่ได้

 ซึ่งก็มีการทดลองจริงจังหลากหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือมีการเอาน้ำจากแหล่งต่างๆ ได้รับพลังงานที่ต่างกันมาแช่แข็งและดูผลึกก็ปรากฏว่าผลึกน้ำแข็งจากแต่ละที่จะมีความเฉพาะตัว ก็คือประมาณว่าน้ำจะจดจำลักษณะเฉพาะของพลังงานแต่ละแบบ อะไรทำนองนั้น

 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกๆการทดลองก็ยอมมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และฝ่ายที่มองว่ามันเรื่องในเชิงจิตวิญญาณมากกว่าเชิงวิทยาศาสตร์  ก็แล้วแต่มุมมองกันไป  แต่เรามองว่ามันเป็นประเด็นที่น่าสนใจนำมาคิดดีเหมือนกัน ซึ่งเรื่องราวในกวีก็ให้ความสำคัญในเรื่องของความทรงจำของกันและกัน

 


สำหรับการแสดงนี้ในมุมมองของเราคือ จะมีแบ่งเป็น 3 ช่วง คือพบเจอ  พบรัก และจากลา  ดนตรีและท่าเต้นที่ใช้จะมีเนิบช้าในซีนแรกๆ แล้วค่อยๆมีความดูสนุกสนานสดใสขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงความรักกำลังผลิบานและตัดจบด้วยการปรับโทนดนตรีให้ช้าลงอีกครั้งเหมือนกับการตื่นขึ้นจากฝัน

 


ในช่วงที่ความรักผลิบาน มีการมอบพัดให้กัน ซึ่งพัดที่ใช้ก็เป็นพัดที่ลักษณะเดียวกันกับในภาพวาดของกู้ไค้จื้อ  เราไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพัดเท่าไหร่เลยไม่แน่ใจว่าจะมีความหมายอะไรนอกจากเป็นสิ่งที่ใช้แทนการหยิบยื่นไมตรีต่อกันหรือเปล่า 

แต่ในความเห็นส่วนตัวคือพัดในบริบทของจีนจะบอกได้ค่อนข้างกว้างตั้งแต่ฐานะทางสังคม ไปยันความรู้สึกนึกคิด ในที่นี้เราเลยคิดว่ามันคือสิ่งที่เหมือนใช้แทนใจที่มอบให้กันแหละ

 


เรารู้สึกว่าการแสดงนี้มีการตีความเอาใจความสำคัญของ ทั้งจากบทกวีและภาพวาด มาเป็นเวอร์ชันรวบรัดที่เห็นภาพชัดและเข้าใจง่ายขึ้นในระยะเวลาอันสั้นคือ นำเสนอในประเด็นของความรักที่เป็นไปไม่ได้และความรู้สึกเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ 


 โดยแสดงให้เห็นเหมือนกับว่าการพบเจอของสองคนนี้ เป็นการพบที่อยู่ต่างที่กัน ที่แม้แต่จะสัมผัสกันก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย  เหมือนเป็นการไขว่คว้าความรักในโลกที่ขนานกันไปไม่มีทางบรรจบกัน


จนมาถึงตอนจบ เงาสะท้อนบนผิวน้ำของเฉาจื๋อกลายเป็นเงาภาพของเทพธิดาแม่น้ำลั่ว เป็นอะไรที่เราชอบมากๆ เป็นความรู้สึกที่ว่า เหมือนมีอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แม้ว่าอาจเป็นแค่เงาที่คิดถึงก็ดีที่สุดแล้ว

 


ถือเป็นการแสดงที่แม้จะเวลาสั้นๆแต่ก็มีเรื่องราวถ่ายทอดออกมากระชับ ชัดเจนสวยงามและกินใจมากๆ จนอยากบอกต่อเลยจริงๆ

 ถึงแม้ว่าเรื่องราวเบื้องหลังบทกวีบทนี้จะยังคงคลุมเครือ อาจจะสามารถตีความจุดประสงค์ของผู้แต่งได้มากมายไม่สิ้นสุด แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดเสมอ ในทุกๆผลงานศิลปะคือ เราสามารถเชื่อใน “ความรู้สึก” ที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการสื่อออกมาได้เสมอ

 ในมุมมองของเฉาจื๋อในบทกวี และในจักรวาลม้วนภาพวาดของกู้ไค้จื้อ เทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วคือสิ่งที่มีอยู่จริง ความรักของทั้งสองคนนี้คือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น และกลับมามีชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าหลายยุคหลายสมัย ส่งต่อความรู้สึกของตัวละครตรงถึงผู้รับอย่างกินใจและตรงไปตรงมา

 บางทีหนึ่งในเสน่ห์ของศิลปะอาจเป็นการกักเก็บเรื่องราวมากมายภายใต้ผลงานแต่ละชิ้น ที่จะซับซ้อนหรือเรียบง่ายแค่ไหน ก็อยู่ที่ผู้เลือกเสพและประสบการณ์ของแต่ละคน 

เพราะบางครั้งศิลปะก็อาจเป็นเรื่องโกหก ที่สามารถเล่าความความจริง ได้จริงที่สุดก็ได้

 


ขอบคุณภาพจาก

https://m.weibo.cn/u/7503957371?is_all=1

https://usa.chinadaily.com.cn/culture/2017-06/01/content_29572613_2.htm

และทวิตเตอร์และเว่ยป๋อแฟนคลับluo yi zhou ทั้งหลาย ^^

  

อ้างอิง

หนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะจีน โดย กำจร สุนทรพงษ์ศรี

https://www.arts.chula.ac.th/th/research-services/2020/12/08/7204/

https://eclecticlight.co/2017/05/02/chinese-narrative-painting-the-nymph-of-the-luo-river/

https://baike.baidu.hk/item/%E6%B4%9B%E7%A5%9E%E8%B3%A6/5572

https://baike.baidu.hk/item/%E6%B4%9B%E7%A5%9E%E8%B3%A6%E5%9C%96/817364

https://baike.baidu.com/item/%E6%89%87%E5%AD%90/930456

 https://philately.ctt.gov.mo/uploads/stampimages/mac202010pageeng.pdf

 https://www.shine.cn/feature/art-culture/1909061546/

 http://en.chinaculture.org/classics/2014-11/06/content_573662_2.htm

 

เผื่อใครสนใจเกี่ยวกับความทรงจำของน้ำ

https://awakenzone.com/blogs/news/discoveries-of-masaru-emoto-about-the-memory-and-member-of-water

https://www.masaru-emoto.net/en/science-of-messages-from-water/

 

                        "...Art is a lie that makes us realize truth..." by  Picasso

 


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม