"มหาภารตะ" มหาสงครามบอยแบนด์ทั้ง5 กับแก๊งหนุ่มล่ำ 100 คน



The Mahabharata

“มหาภารตะ” เป็นมหากาพย์สุดยิ่งใหญ่ของอินเดียที่ถือได้ว่าเป็นเหมือนรากฐานทางความคิด ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวอินเดีย และยังว่าถือเป็นมหากาพย์ที่ ‘มีความยาวที่สุดในโลก’ แต่งด้วยฉันท์ประมาณ 100,000โศลก มีทั้งหมด 18 บรรพ(ตอน) ยาวกว่ามหากาพย์รามายณะ ถึง 4 เท่า ยาวกว่ามหากาพย์อีเลียด(Iliad) และโอดิสซี (Odyssey)ของประเทศกรีซรวมกันถึง 8 เท่า!!!

มหากาพย์เรื่องนี้มีชื่อเดิมว่า “ชย”(ชะ-ยะ) เป็นลำนำสรรเสริญชัยชนะของวีรบุรุษผู้กล้า และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อมหาภารตะ ซึ่งในฉันท์จำนวน 100,000โศลกนี้มีเนื้อหาหลักของเรื่องแค่ 20,000 โศลกเท่านั้น ที่เหลือเป็น ‘เรื่องแทรกเรียกว่า “อุปาขยาน” ที่มีเรื่องราวหลากหลาย เช่น นิทาน ปรัชญา ประวัติเทพเจ้า ตำนาน รวมถึงประเพณีต่างๆ

เรียกได้ว่าเยอะมาก ยาวสุดติ่งไปเลย บอกทุกอย่างครบหมดจด อย่างที่มีโศลกตอนหนึ่งในเรื่องกล่าวไว้ว่า “…สิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในมหากาพย์ชิ้นนี้ สิ่งนั้นย่อมจะหาไม่ได้เลยในที่แห่งอื่น” เรียกได้ว่าอ่านแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็คุ้ม ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว’จริงๆ

ในประเทศไทยอาจคุ้นเคยกับมหากาพย์ “รามายณะ” มากกว่ามหากาพย์มหาภารตะ เนื่องจากในไทยเรามีวรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลจากรามายณะของอินเดียซึ่งมีชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยคือ ”รามเกียรติ์” (จนบางครั้งหลายคนยังคงสับสนว่ารามายณะกับรามเกียรติ์เป็นเรื่องเดียวกัน!)ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์บทละครในหลายรัชกาล และบรรจุอยู่ในแบบเรียนด้วย

อันที่จริงแล้วไทยเราได้รับอิทธิพลจากมหากาพย์มหาภารตะเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยนะ อย่างการมีวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ที่เป็นเรื่องแทรกที่ได้จากมหาภารตะ เช่น วรรณคดีสมัยรัชกาลที่ 3 เรื่องกฤษณาสอนน้อง พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วรรณคดีพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่องพระนลคำหลวง ศกุนตลา สาวิตรี อนิรุทธ์คำฉันท์

ซึ่งระหว่างมหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะนั้นก็มีเรื่องราวและตัวละครบางตัวที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยนะ อย่างในคติฮินดูที่ว่า “กาลเวลาไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด” โดยว่ากันว่า เรื่องราวของรามายณะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเรื่องราวในมหาภารตะ

มหาภารตะ เป็นเรื่องราวของการสู้รบของลูกพี่ลูกน้อง(พ่อเป็นพี่น้องคนละแม่) สองพวกแห่งราชวงศ์กุรุ คือ “ปาณฑพ”(ปาน-ดบ) และ “เการพ” โดยตำนานกล่าวว่าผู้แต่งคือฤๅษีวยาส(ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครในเรื่อง) ผู้เขียนคือพระคเนศ เทพแห่งปัญญาของฮินดู

ซึ่งเรื่องราวการสู้รบเหล่านี้นักวิชาการกล่าวว่ามีต้นเค้ามาจากสมัยที่มีการต่อสู้กันระหว่างชาวอารยันในสมัยที่กำลังตั้งรกรากในอินเดียซึ่งกำลังต้องการความเป็นปึกแผ่น เป็นเรื่องที่มีผู้แต่งหลายคนและแต่งเติมกันมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นราวๆ 400-500ปีก่อนคริสตศักราช และมีการแต่งเติมเรื่อยมาจนจบราวๆ ค.ศ.400-500 ซึ่งก็หมายถึงระยะเวลาแต่งกินเวลาถึง 800-900 ปี!

โดยหลักๆแล้วเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างความดีและความเลวในจิตใจ มีเนื้อเรื่องค่อนข้างเข้มข้น (ดราม่าด้วย!!!) ซับซ้อนและตัวละครจำนวนมหาศาล! แต่ก็ยังคงโฟกัสอยู่ที่ตัวละครหลักอย่างพี่น้อง “ปาณฑพ” ซึ่งประกอบไปด้วยหนุ่มหล่อระดับบอยแบนด์ 5 คน (ถือเป็นฝ่ายดี) และพี่น้อง “เการพ” มีสมาชิกก็ไม่มากอะไรแค่เป็นแก๊งหนุ่มล่ำจำนวน 100 คนถ้วน แต่มีหัวหน้าแก๊งแค่คนเดียว(ถือเป็นฝ่ายร้าย)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายดีจะทำแต่เรื่องประเสริฐเลิศเลอ และฝ่ายร้ายจะต้องเลวบัดซบ! ก็อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องของสงครามในจิตใจ ดีเลวก็มีปะปนกันไป ซึ่งเรื่องราวทั้งหลายที่มีก็จะเล่าย้อนไปถึงสมัยปู่ ย่า ตา ทวด กันเลยทีเดียว…



เรื่องราวมหาภารตะเริ่มต้นขึ้นจากบนสวรรค์ มีเหตุที่ทำให้ ‘พระแม่คงคา’(มีศักดิ์เป็นทวดของพี่น้องปาณฑพ-เการพ) ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์และใช้ชีวิตเป็นชายาของ ‘ราชาศานตนพ’ แห่งเมืองหัสตินาปุระ อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง(ซึ่งอันที่จริงทั้งสองคนนี้มีเบี้องลึกเบื้องหลังมาแต่ชาติก่อนแล้ว) แล้วพระแม่คงคาก็ได้ให้กำเนิดโอรสชื่อว่า “ภีษมะ”(ปู่)


หลังจากที่ราชาศานตนพและพระแม่คงคาแยกทางกัน ราชาศานตนพแต่งงานใหม่กับ ‘นางสัตยวดี’ แล้วก็มีลูกชายอีก2คน เมื่อราชาศานตนพสวรรคตลูกชายก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ แต่ไปๆมาๆลูกชายทั้งสองก็ตายหมด! ไม่มีโอรสสืบสกุลเลย


จึงจำเป็นต้องให้มเหสี 2 คนของราชาที่สวรรคตไปแล้วประกอบพิธี “นิโยค” เพื่อจะได้มีลูกสืบสกุล(คือให้ญาติทางฝ่ายสามีที่ตายมาทำหน้าที่แทน ซึ่งมีการกำหนดวันเวลาชัดเจนเป๊ะเวอร์ โดยลูกที่เกิดให้ถือเป็นลูกสามีที่ตาย)


ญาติทางฝ่ายสามีที่จะได้รับหน้าที่ “นิโยค” คือลูกชายคนแรกของนางสัตยวดีในสมัยสาวๆ(นางเคยมีลูกมาก่อนแล้ว) ชื่อว่า “ฤๅษีวยาส” แต่ด้วยความเป็นนักบวชอยู่ในป่าสภาพก็จะดูสยองๆหน่อยจึงทำให้ในขณะปฏิบัติหน้าที่มเหสีคนแรกปิดตาเพราะกลัว ลูกเลยออกมาตาบอดชื่อว่า “ธฤตราษฏร์”(ลุงของพี่น้องปาณฑพ)


ส่วนมเหสีคนที่สองก็กลัวมากจนหน้าซีดปากสั่น ลูกที่เกิดมาเลยตัวซีด ชื่อว่า “ปาณฑุ”(ปาน-ดุ =แปลว่า ตัวซีด>>เป็นพ่อของพี่น้องปาณฑพ) พอเห็นหลานออกมาประหลาดๆแม่สามีก็จะให้นิโยคอีก แต่รอบนี้มเหสีส่งนางกำนัลเข้าพิธีแทน ลูกก็ออกมาปกติดี ชื่อว่า “วิฑูร” (อา)

เมื่อเด็กๆทุกคนโตหมดแล้ว ภีษมะที่ทำหน้าที่เหมือนพี่เลี้ยงของหลานๆก็จัดการจัดแจงหาสาวมาให้แต่งาน ธฤตราษฎร์(ตาบอด) แต่งกับเจ้าหญิง “คานธารี”ซึ่งนางก็รักสามีมากเห็นสามีตาบอดก็เลยเอาผ้ามาปิดตาตัวเองจะได้มองไม่เห็นเหมือนๆกัน!, ปาณฑุ(ตัวซีด)แต่งกับเจ้าหญิง “กุนตี” และ “มัทรี” ส่วนวิฑูรก็แต่งกับสาวในวรรณะแพทย์


ปาณฑุ(ตัวซีด)ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ถึงจะเป็นน้องแต่ก็คุณสมบัติดีสุดแล้วที่จะเป็นราชา(วิฑูรไม่นับเพราะเป็นลูกนางกำนัล) แต่ความซวยก็มาเยือนเมื่อไปเที่ยวป่าดันไปทำความผิด โดนพราหมณ์สาปให้ตายในเวลาที่ร่วมรักกับภรรยา!


คราวนี้ดราม่าหนักเลยนอกจากจะมีลูกไม่ได้แล้ว ก็รู้สึกผิดบาปกับความผิดในครั้งนั้นเลยตัดสินใจสละบัลลังก์ให้ ธฤตราษฏร์เป็นราชาแทน ส่วนตัวเองไปอยู่ป่ากับมเหสีทั้งสอง


ด้วยความที่ถูกสาปจะมีลูกตามธรรมชาติไม่ได้ แต่เหมือนโชคยังดีอยู่หน่อย พระนางกุนตี(แม่)รู้มนตราขอลูกจากเทพ ก็เลยมีลูกในแบบที่ให้เทพให้มาตรงๆเลยแล้วกัน พระนางกุนตีก็เลยขอลูกสามคน คือ ยุธิษฐิระ(ขอเรียกว่าพี่ธิษ), ภีมะ และ อรชุน แล้วก็สอนมนตรานั้นกับมเหสีอีกคน


ก็ได้ลูกมาอีกสองคนคือ นกุล และสหเทพ รวมโอรสที่มีศักดิ์เป็นลูกของปาณฑุทั้งหมด 5 คน ซึ่งก็คือบอยแบนด์สุดเท่ “ปาณฑพ”(แปลว่าลูกปาณฑุ) กลุ่มเมนหลักของเรื่องนี้


(ซึ่งพระเอกของเรื่องนี้เรายังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเทคะแนนให้ใครระหว่าง พี่ธิษ และอรชุน เพราะบทเด่นมากๆ>>พี่ธิษจะเป็นคนเด่นด้านสกิลความเป็นผู้นำเป็นราชา แต่อรชุนนี้จะเด่นด้านความเท่ และที่สำคัญคือนางเอกรักที่สุด---แล้วแต่คิดเลยแล้วกัน ^ ^)

ด้านท้าวธฤตราษฎร์ราชาคนปัจจุบันก็มีลูกซึ่งเกิดมาไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน เหตุมาจากมเหสีคานธารีได้ดูแลต้อนรับ ฤๅษีวยาสอย่างดี ก็เลยให้พรเข้าให้ว่าให้มีลูก 100+1 คนเลยนะ ว่าแล้วนางก็ตั้งท้องอยู่2ปี คลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อยักษ์!!


ตัดแบ่งเป็นชิ้นๆใส่หม้อเนยใส แล้วรอไปอีก2ปีแล้วเปิด ก็ได้ลูกชายจำนวน 100คน และลูกสาว 1 คน (ลูกสาวคนนี้ไม่ค่อยมีบทบาทเพราะโตมาแล้วไปแต่งงานกับราชาอีกแคว้นนึง ซึ่งสามีนางจะมีบทเยอะกว่าตรงที่ทำตัวเกรียนๆ) ซึ่งลูกชาย 100 คนนี้มีพี่เพื่อน หัวโจกชื่อ “ทุรโยชน์” เกิดมาพร้อมเสียงร้องเป็นลาและมีเหตุอาเพศประหลาดๆ รวมเป็นกลุ่ม “เการพ” แก๊งหนุ่มล่ำของเรา


ความซวยยังคงตามติดอดีตราชาปาณฑุพระองค์ไม่สามารถหนีคำสาปพ้นในที่สุดก็สวรรคต ซึ่งในงานถวายพระเพลิง พระนางมัทรีมเหสีคนที่สองก็เผาตัวเองตายตาม พระนางกุนตีกับลูกชายบอยแบนด์ทั้ง 5 ก็เลยต้องกลับเมืองหัสตินาปุระให้เด็กๆได้ใช้ชีวิตอย่างลูกกษัตริย์

แต่เด็กๆที่เคยอยู่วังอยู่ก่อนแล้วอย่างเการพ เมื่อต้องแบ่งพื้นที่หรือความรักให้พี่น้องวัยเดียวกันที่ไม่ได้สนิทกันมากก็ย่อมจะไม่ค่อยกินเส้นกัน ไม่ว่าเวลาเล่นหรือเวลาเรียนต่างๆก็จะมีบรรยากาศดราม่าอยู่เบาๆ


แต่รอยร้าวนั้นก็เริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่อ ทุรโยชน์เริ่มเล็งเห็นว่าลูกๆของอดีตราชาอย่างพวกปาณฑพอาจก่อปัญหาให้ในอนาคตแน่ๆ ก็เลยวางแผนวางยาพิษ คนที่เป็นคู่ปรับที่สุดของทุรโยชน์คือ ภีมะ(เป็นจอมพลังสุดในกลุ่ม)

พวกเการพจัดการวางยาพิษภีมะ แต่โชคช่วยนอกจากภีมะไม่ตายแล้วยังได้เจอบรรพบุรษที่เป็นพญานาคได้ดื่มน้ำอมฤต ทำให้ยิ่งเป็นจอมพลังเข้าไปอีก รอดชีวิตได้คราวนี้ก็เลยเป็นการทำให้พวกปาณฑพได้รู้ตัวว่าควรต้องระวังเการพไว้ให้ดีๆ

ในส่วนของทุรโยชน์ก็ไม่พอแค่นั้น เห็นแผนไม่สำเร็จก็พยายามไปเล่า ไปเสี้ยม ไปยุ ราชาธฤตราษฎร์ผู้เป็นพ่อ ให้เข้าข้างตัวเอง และจัดการวางแผนให้ปาณฑพเดินทางไปพักผ่อนอีกเมืองนึง เพื่อที่จะเผาทั้งเป็น!!!

ทุรโยชน์ส่งคนไปสร้างตำหนักรับรองที่ทำจากวัสดุติดไฟง่ายเตรียมเผาเต็มที่ วิฑูรที่เป็นอารู้แผนชั่วก็เลยส่งคนไปช่วยขุดทางหนีไฟ และบอกกับปาณฑพถึงแผนนี้จะได้หนีทัน เมื่อถึงเวลาเหล่าบอยแบนด์ก็ทำการซ้อนแผนด้วยการชิงเผาตำหนักเองก่อนซะเลย แล้วก็หนีไปตามทางหนีไฟที่ได้ขุดไว้

ปาณฑพและกุนตี(แม่) หนีมาอยู่ในป่าก็มีเหตุการณ์ผจญภัยต่างๆและได้ไปอยู่อาศัยกับนักบวชแถวนั้น ปกปิดตัวตนว่าเป็นพราหมณ์ แล้วก็ประจวบเหมาะกับพิธีเลือกคู่เมืองปัญจาละ ของเจ้าหญิงเทราปที (นางเอกของเรานั่นเอง---มีอีกชื่อว่า กฤษณา แปลว่า น้องหนูตัวดำ, ปัญจาลี แปลว่า ลูกสาวเมืองปัญจาละ)


ซึ่งในงานนี้ “พระกฤษณะ” หรือ “ศรีกฤษณะ”แห่งเมือง ทวารกา(อวตารของพระนารายณ์ ซึ่งตอนหลังมีส่วนช่วยในสงครามฝ่ายปาณฑพเยอะมากๆ) ญาติฝ่ายแม่ของปาณฑพก็ได้มาเป็นผู้ชมด้วย

เมื่อเห็นฝีมือการแสดงความสามารถของอรชุนก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่พราหมณ์ แต่คืออรชุน ลูกของกุนตีนั่นเอง แล้วผลก็ปรากฏว่า อรชุน เป็นคนที่แสดงความสามารถผ่านสเปคที่พ่อตาตั้งไว้ รวมกับเทราปทีก็เลือกเป็นสามีด้วย ก็เป็นอันว่าพาเทราปทีกลับมาเจอแม่ที่ที่พัก

ในขณะที่แม่กำลังกังวลว่าลูกจะเจอปัญหาหรือเปล่า พอลูกๆกลับมาและส่งเสียงบอกว่า เนี่ยแม่ได้อะไรดีๆมาแนะออกมาดูสิ!แม่ก็ยังไม่ทันออกมาจากห้องมาดูก็รีบบอกตามประสามนุษย์แม่ว่า เออได้ของดีมาก็ต้องแบ่งให้พี่ๆน้องกันด้วยนะลูก! แล้วพอออมาเจอก็ต้องถึงกับช็อค นี่แม่จะให้ลูกแบ่งเมียกัน 5 คนเลยจริงดิ!!

ด้วยความที่คำพูดแม่เป็นเหมือนประกาศิตก็เลยตกลงกันว่า โอเคเราจะแต่งงานกับเทราปทีกันทั้ง 5 คนนี่แหละ! แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดมากๆที่จะแต่งงานมีเมียคนเดียวกันถึง 5 คน แต่ทุกสิ่งย่อมมีเหตุผลเสมอ...


อันที่จริงแล้วที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะชาติที่แล้วเทราปทีได้ขอสามีจากพระศิวะ แต่ดันพูดซ้ำๆถึง 5 รอบ ชาตินี้พระศิวะเลยจัดสามีมาให้เลยถึง 5 คน!! ซึ่งการแต่งงานที่ดูเหมือนจะวุ่นวายนี้ก็ไม่ได้ส่งผลให้พี่น้องทั้ง5 แตกแยกแต่อย่างใดเพราะมีกฏตั้งไว้เรียบร้อยว่าจะใช้เวลากับเทราปทีกันคนละ 2 วัน


และระหว่างที่คนนั้นได้ใช้เวลากับนางห้ามใครเข้ามาในห้องไม่งั้นต้องเนรเทศตัวเอง 12 ปี (ซึ่งก็มีอยู่ช่วงนึงมีเหตุให้อรชุนจำเป็นต้องเข้าไปในห้อง ก็เลยเนรเทศตัวเองอยู่12ปี ไปเที่ยว ผจญภัยอยู่พักหนึ่งก็ได้กลับมา) ซึ่งเทราปทีก็มีลูกกับสามีทุกคน เป็นลูกชาย5 คน

ซึ่งหลังจากงานแต่งงานกับเทราปทีนี้ทางราชาธฤตราษฏร์ก็คิดหนักถึงกรณีพิพาทระหว่างปาณฑพ-เการพ ก็เลยตัดสินใจจะแยกพวกปาณฑพออกไปเลยแล้วกันโดยแบ่งเมืองให้ไปปกครอง ซึ่งเมืองที่ให้ก็ไม่ได้ดิบดีอะไรเป็นเมืองที่กันดาร และแห้งแล้งหนักมาก


แต่ปาณฑพก็พยายามพัฒนา ขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากพระกฤษณะ จนทำให้เมืองกันดารกลายเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ผู้คนอยู่ดีกินดีได้ และตั้งชื่อเมืองว่า “อินทรปรัสถ์” และสร้างสภาที่สวยเวอร์วังมากจนเป็นที่เลื่องลือ

แน่นอนว่าทุรโยชน์เห็นพวกปาณฑพดีกว่าไม่ได้เลยวางแผน(อีกแล้ว)ให้ลุงที่เล่นสกา(เป็นการพนันที่ใช้ลูกเต๋าเล่นชนิดหนึ่ง)เก่งโคตรๆมาเล่นสกากับพี่ธิษของเหล่าปาณฑพ และแน่นอนว่านางเล่นเก่งขั้นเทพรู้ทริคกลโกงต่างๆมากมา


ประกอบกับตอนนั้นพี่ธิษกำลังอินกับเกมไม่ยอมแพ้ เอานั่นนี่นู่นมาพนัน แม้แต่เอาตัวเองเป็นเดิมพันยังไม่รอด จนหมดเนื้อหมดตัว และในตาสุดท้ายได้เอานางเทราปทีมาเป็นเดิมพัน...แน่นอนว่าแพ้ตามเคย คราวนี้ก็เข้าทางทุรโยชน์เล

สมัยนั้นถือว่าภรรยาเป็นสมบัติสามี ทุรโยชน์ก็ส่งคนไปลากตัวเทราปทีมายังท้องพระโรง และจะเปลี้องผ้าสาหรีออก ซึ่งเป็นการกระทำที่หยามเกียรติกันมากๆ (ตอนนี้เราว่าเป็นจุดที่เป็นชนวนสำคัญให้เกิดสงครามเลยนะ เป็นซีนสำคัญที่ดราม่าสุด เรียกได้ว่าเมียข้าห้ามหยามว่างั้นเลย)


ในโมเมนต์นั้นคือไม่มีใครจะช่วยนางได้เลยแม้แต่สามีเพราะเสียอิสระภาพไปแล้ว นางก็เลยระลึกถึงพระกฤษณะให้ช่วยนางด้วย พระกฤษณะที่เป็นอวตารพระนารายณ์ก็รับรู้ได้ก็เลยจัดการเสกให้ผ้าสาหรีของนางยาวไปเรื่อยๆดึงเท่าไหร่ก็เปลื้องผ้าไม่ได้!!

นางเทราปทีตอนนั้นก็คือโกรธสามีขั้นสุด โกรธญาติพี่น้องทุกๆคน นางก็เริ่มด่ากราดว่าถ้าตัวสามีเองยังเสียอิสระภาพไปแล้วยังจะมีสิทธิอะไรที่จะเอาเมียมาเป็นเดิมพันวะ! เริ่มถามหาความยุติธรรมจากบรรดาญาติๆสามี(ซึ่งตอนนี้ถือว่าอยู่ฝ่ายทุรโยชน์ไปแล้ว)


จนนางเริ่มสาปแช่งคนที่มาหยามเกียรตินาง จนในที่สุดราชาธฤตราษฏร์ทนไม่ได้(เพราะยังคงมีความเป็นราชาที่ดีอยู่บ้าง) ก็เลยให้ทุกอย่างเป็นโมฆะไป แยกย้ายเถอะๆ


ในขณะที่พวกปาณฑพกำลังจะเดินทางกลับอินทรปรัสถ์ ทุรโยชน์ก็ไม่ยอม ไปเสี้ยมพ่ออีก จะให้เรียนปาณฑพกลับมาเล่นสกาอีกรอบนี้แค่รอบเดียวจบเลย ถ้าใครแพ้ต้องเนรเทศตัวเอง 13 ปี และปีสุดท้ายต้องอยู่อย่างหลบซ่อนห้ามให้ใครจำได้ไม่งั้นเริ่มใหม่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด พี่ธิษก็กลับมาเล่นแล้วแพ้อีก!!!(ก็ไม่จำเลย!) ก็เลยต้องทำตามกฏตามนั้น


หลังจากการแพ้พนันอย่างเป็นทางการ ราชาธฤตราษฎร์ให้เอาแม่มาอยู่ด้วยกันที่หัสตินาปุระไปก่อน เนรเทศตัวเองเสร็จค่อยมารับกลับ(รุ่นพ่อแม่เขายังดีกันอยู่ ทะเลาะแค่รุ่นลูก)ซึ่งในช่วงที่เนรเทศตัวเองอยู่ 14 ปีนี้เหล่าบอยแบนด์ปาณฑพและเทราปทีก็ได้ผจญภัยหลายอย่างในป่า ย้ายที่อยู่หลายที


ซึ่งระหว่างนี้ก็มีพระกฤษณะเป็นที่ปรึกษาอยู่เสมอๆ จนถึงปีสุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะไปซ่อนตัวปกปิดฐานะตัวเองอยู่ที่เมืองของ “ท้าววิราฏ” ซึ่งเป็นราชาที่มีความยุติธรรม


อยู่ไปๆ ด้วยความสวยของเทราปทีซึ่งตอนนี้มีหน้าที่เป็นคนทำผมให้มเหสี ก็ไปติดตาต้องใจน้องชายสุดเกรียนของนาง ทำให้เกิดเหตุลวนลามนางจนภีมะถึงกับฆ่าเขาจนตาย ซึ่งการตายของน้องชายมเหสีนี้ทำให้เมืองขาดคนปกป้องเมือง เมืองที่เป็นศัตรูกันก็เลยหาทางมาตีเมืองให้แตก ส่วนท้าววิราฏก็ไม่สบาย เหล่าบอยแบนด์ก็เห็นว่านี่มันหมดสัญญาการซ่อนตัวแล้วก็ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนแล้วไปช่วยรบ

โลกก็กลมจริงๆ ฝ่ายเการพแห่งหัสตินาปุระก็พาญาติมาช่วยฝ่ายตรงข้าม พอเจอกันในสนามรบก็เลยรู้ว่า อ๋อ นี่มันหนีมาอยู่นี่! ซึ่งระดับบอยแบนด์ซะอย่างการวางแผนและการรบต้องเจ๋งสุดๆ ฝ่ายเการพก็ต้องแพ้ไป เมื่อจบเรื่องราวท้าววิราฏก็มอบลูกสาวให้แต่งงานกับลูกชายของอรชุน ซึ่งเป็นงานที่เชิญกษัตริย์จากหลายเมือง


หลังจากจบงานพระกฤษณะก็พยายามหารือกับบรรดากษัตริย์เมืองต่างๆหาทางออกให้กับกรณีพิพาทของ ปาณฑพ-เการพ พยายามไม่ให้เกิดสงคราม ก็เลยตกลงกันว่าควรจะทวงเมืองคืนก่อนด้วยสันติเพราะถึงยังไงก็พี่น้อง และอีกอย่างทางเการพมีคนเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยังไงๆก็เสียเปรียบ


แน่นอนว่าทุรโยชน์อยากรบกับพวกปาณฑพใจจะขาดอยู่แล้ว คงไม่อยากสันติอะไรหรอก ก็เลยเดินทางไปขอให้พระกฤษณะมาเป็นพวก ซึ่งตอนนั้นอรชุนก็ไปหาพระกฤษณะเหมือนกัน ก็เป็นอันตกลงกันว่า อรชุนจะได้ตัวพระกฤษณะไป ส่วนด้านทุรโยชน์จะได้กองทับ ‘นารายณี’ ของพระกฤษณะไป ซึ่งทุรโยชน์ก็แฮปปี้ดีเพราะถือว่าคนเยอะกว่า


พระกฤษณะก็พยายามช่วยโดยใช้วิธีเจรจาสันติวิธีจนถึงนาทีสุดท้าย แต่ก็ไม่เป็นผล ทุรโยชน์อยากรบเต็มแก่แล้วเลยจะวางแผนสกัดดาวรุ่งด้วยการจะจับตัวพระกฤษณะเอาไว้ แต่ระดับกึ่งเทพอย่างพระกฤษณะแล้วรู้แผนแน่นอน คราวนี้พระกฤษณะก็จะไม่ทน ประกาศทำศึกอย่างเป็นทางการไปเลย ว่าแล้วก็หยิงสังข์ขึ้นมาเป่าให้รู้แล้วรู้รอด!!!

ในที่สุดสงครามก็เริ่มขึ้น ณ ทุ่งกุรุเกษตร โดยฝั่งบอยแบนด์ปาณฑพ มีพระกฤษณะช่วยขับรถศึก และเป็นเบคให้อย่างดี ในส่วนของเการพก็มีกองทัพพระกฤษณะและญาติๆ(ที่มีทั้งที่ช่วยรบตามหน้าที่ ทั้งที่ไม่ได้โกรธอะไรกับปาณฑพ) ในวันแรกของการทำสงคราม มีอรชุนเป็นคนนำทับ ไปเผชิญหน้ากับภีษมะ(ปู่)


ซึ่งก็เป็นปู่กับหลานที่รักกันแหละนะ แต่ด้วยหน้าที่ปู่ของทุรโยชน์เลือกข้างแล้วก็ต้องช่วยรบ อรชุนเห็นบรรดาญาติๆที่เคยอยู่กันมาตั้งแต่เด็กๆก็เกิดอาการหดหู่และไม่อยากรบ

พระกฤษณะเห็นท่าไม่ดีเลยประทานคำสอนที่เป็นคัมภีร์อันโด่งดัง “ภควัทคีตา” ให้กับอรชุนให้ดึงสติว่ามันมาถึงขนาดนี้แล้วนะ เราจำเป็นต้องทำตามหน้าที่(หน้าที่ของกษัตริย์คือการต่อสู้อย่างเป็นธรรม) เพราะสงครามครั้งนี้เป็นสงครามอันชอบธรรม ถ้ามาเลิกตอนนี้ไม่ได้แล้วเด้อ คนอื่นที่จะมาช่วยรบก็จะพากันซวยหมดถ้ามาเทตอนนี้เราต้องรับผิดชอบด้วย ฯลฯ


สอนเสร็จก็เป็นอันว่าอรชุนเข้าใจ และจำเป็นต้องรบกันแล้ว ก็เลยทำความเคารพปู่ ปู่ก็ให้พรขอให้ชนะ แล้วก็เริ่มต้นสู้รบกันอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในสงครามครั้งนี้กินเวลาถึง 18 วันซึ่งก็มีการสูญเสียกันไปมากมายทั้งสองฝ่าย เปลี่ยนผู้นำทัพ และกลยุทธ มีการใช้กลอุบายชิงไหวชิงพริบ ทั้งที่ดูยุติธรรมและดูแกมโกง

จนถึงวันสุดท้ายทางฝ่ายเการพก็สูญเสียสมาชิกไปเกือบทั้งหมด เหลือเพียงแค่ทุรโยชน์ และฝ่ายลูกชายอาจารย์ที่เคยสอนมาอยู่2-3 คน ทุรโยชน์จึงได้หนีไปหลบอยู่ในกอกกริมหนองน้ำแต่ก็มีคนที่เห็นเหตุการณ์ไปรายงานปาณฑพ จึงได้มีการสู้กันตัวต่อตัวอีก โดยภีมะ(คู่ปรับเก่า) สู้กับทุรโยชน์โดยใช้ตะบอง ซึ่งในที่สุดทุรโยชน์ก็แพ้


ในคืนวันนั้นเองฝ่ายเการพที่เหลืออยู่เพียงคนสองคนก็ได้ลอบเข้ามาในค่ายของปาณฑพขณะที่ทุกคนกำลังหลับ และจัดการฆ่าลูกชายทั้ง 5 ของนางเทราปที ซึ้งทำให้ทุกคนเสียใจมาก


ต่อมาพี่ธิษของเรา ก็ได้ไปตามแก้แค้นให้ด้วยการยึดมงกุฏที่เป็นเหมืองสิ่งวิเศษและเกียรติยศของฝ่ายตรงข้ามมาเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเขาแพ้ต่อพี่ธิษแล้วเด้อ ห้ามสู้อีก(ที่ไม่ฆ่าเพราะเป็นลูกอาจารย์ที่เคารพ) ตอนนี้เหล่าปาณฑพจึงมีผู้สืบสกุลแค่คนเดียวคือหลานชายที่อยู่ในครรภ์ของลูกสะใภ้

หลังจากจบศึกทุกอย่าง พี่ธิษ และเหล่าบอยแบนด์ทั้งหลายก็กลับคืนสู่หัสตินาปุระ โดยมีพี่ธิษเป็นราชา ส่วนเมืองอินทรปรัสถ์ต่อมายกให้ลูกหลานทางฝ่ายของพระกฤษณะเป็นผู้ดูแลต่อ เนื่องจากช่วงหลังสงครามเป็นช่วงขาลงของพระกฤษณะ ญาติพี่น้องรบกันเอง พ่อป่วย


ส่วนตัวพระกฤษณะเองต่อมาก็ถูกนายพรานยิงตาย(เพราะคิดว่าเป็นกวาง) ตามคำสาปที่เคยโดนไปก่อนหน้านี้ ที่นางคานธารีแม่ของพวกเการพ สาปแช่งเนื่องจากมองว่าพระกฤษณะไม่ยุติธรรม เข้าข้างแต่ปาณฑพและใช้เล่ห์กลโกง ไม่นานเมืองทวารกาก็ล่มสลายจมอยู่ภายใต้มหาสมุทร


อดีตราชาธฤตราษฎร์ พระนางคานธารี และพระนางกุนตี รู้สึกสลดหดหู่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากก็พากันออกจากวังเข้าไปไปบวชบำเพ็ญสมาธิ ซึ่งต่อมาก็ได้สวรรคตพระไฟป่า เมื่อลูกๆเหล่าบอยแบนด์รู้ข่าวก็ยิ่งสลดหดหู่ ก็เลยชวนนางเทราปทีพากันออกบวชเข้าป่า โดยสละราชบัลลังก์ให้หลานชายปกครองต่อ


เทราปทีและเหล่าปาณฑพตั้งเป้าจะขึ้นเขาพระสุเมรุ แต่หนทางยากลำบากทุกคนเลยทยอยตายไประหว่างทางทีละคน จนเหลือเพียงแค่ พี่ยุธิษฐิระ เพียงคนเดียว ซึ่งตรงจุดนี้ก็ได้มีการทดสอบจากเทวดาถึงคุณธรรมในจิตใจของเขา


จนในที่สุดภารกิจก็สำเร็จลุลวง พี่ธิษได้ขึ้นไปถึงบนสวรรค์เจอทุกคนที่ได้ตายไป ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องปาณฑพ เทราปทีภรรยาสุดที่รัก และญาติๆทุกๆคน รวมถึงพี่น้องเการพที่เคยเกลียดกันจะเป็นจะตาย


เมื่อเจอกันบนสวรรค์ทุกคนก็ได้ละทิ้งความเคียดแค้นทุกอย่างไปหมดแล้ว ก็เป็นอันว่าปรองดองกันได้และอยู่ด้วยกันอย่างแฮปปี้บนสวรรค์ ส่วนพระกฤษณะที่ชะตากรรมแลดูโหดสุดแล้ว เมื่อตายก็ได้ไปรวมอยู่กับร่างหลัก ก็คือพระนารายณ์ ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจการอวตารในร่างพระกฤษณะแต่เพียงเท่านั้น

the End


อ้างอิง

(1)ประวัติศาสตร์อินเดีย โดย รงรอง วงศ์โอบอ้อม
(2)ภารตวิทยา โดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
(3)วิทยานิพนธ์ บทบาทและฐานะสตรีในมหาภารตะ โดย ภิญโญ บุญทอง

(4)มหาภารตยุทธ โดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
(5)มหาภารตยุทธ์ โดย นร แปลจากฉบับราเชนทร์ สิงห์
(6)Mahabharata: The Greatest Spiritual Epic of All Time by Krishna Dharma
(7)Puranic Encyclopaedia by Vettam Man
.
ขอขอบคุณภาพจาก
https://vedicfeed.com/18-days-of-the-mahabharata-war-summary-of-the-war/



***การเขียนอะไรสักอย่างนึง ต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะมาก ฝากติดตามด้วยน้าาา เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อ...ร่วมพูดคุย และกดไลค์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ในเพจ
https://www.facebook.com/PanchaliWriter


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม