พาเที่ยวพระราชวังกรุงธนฯ-วัดอรุณฯ-วัดนาคกลาง-โบสถ์พราหมณ์



 
ถือเป็นโอกาสอันดี มีเวลาได้มาเที่ยวส่งท้ายปีเก่าวันนี้จะพาไปเที่ยว4ที่ สี่สไตล์จากฝั่งธนบุรี ข้ามมาแถวเสาชิงช้าเลยทีเดียว!!

และวันนี้ที่มาเที่ยวก็ถือเป็นวันพิเศษเพราะเป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วันที่ 28 ธันวาคม 2310)ซึ่งที่แรกที่จะพาไปก็คือพระราชวังของพระเจ้าตากสินที่สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี  กองบัญชาการกองทัพเรือเปิดให้เข้าชมเป็นวันสุดท้ายพอดีเลย โอ้ย! อย่างงี้ห้ามพลาดเลยนะ

ว่าแล้วก็ตามมาๆ

1. พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี

อย่างที่รู้ๆกันก็คือหลังจากเสียกรุงฯครั้งที่2 พระเจ้าตากสินก็ได้พาผู้คนอพยพมาตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี และตั้งใจต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพ บริเวณวังหลวงของพระเจ้าตากสินปัจจุบันถูกเรียกว่า “พระราชวังเดิม”

พื้นที่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการกองทัพเรือ หลังจากที่สมัย รัชกาลที่5 ได้มีการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้ก้าวหน้าทันสมัยโดยโปรดเกล้าให้สถาปนาโรงเรียนนายเรือขึ้น จะอยู่ติดกับวัดอรุณฯเดินตรงเข้ามาติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเลย แต่โดยปกติเขาไม่ได้เปิดให้เข้าชมหรอกนะจ๊ะ ต้องรอเทศกาลหน่อยและไม่ต้องเดาให้เมื่อยสมอง คนเยอะแน่นอน!!! แบบว่ามากมายมหาศาลเลย   



 
ณ จุดนี้เลยจะบอกไว้ก่อนว่า จะมีหลายที่ที่เราไม่ได้เข้าไปเก็บภาพมาให้เพราะเราเป็นมนุษย์ที่สู้ไม่ไหวจริงๆในพื้นที่ๆคนเบียดเสียด เราคงขอซูมอยู่ข้างนอก และยกมือไหว้อยู่ไกลๆก็แล้วกัน^^


 ข้างหน้าสุดก่อนจะเดินเข้าไปยังพื้นที่ของพระราชวัง ก็จะมีโต๊ะตั้งขายของที่ระลึกจากบรรดานายเรือ มีทั้งที่เกี่ยวกับทหารเรือ และเกี่ยวกับพระเจ้าตากสิน



เดินไปอีกหน่อยก็จะพบคนเยอะแยะ ควันธูปโขมงไปหมด(แสบตามากๆ ระวังกันด้วยนะเวลาไหว้พระ ^^) มีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าตากสินฯให้สักการะบูชากันได้เต็มที่เลย 



เลยจากจุดที่ไหว้พระเจ้าตากสินไปซักหน่อยจะเห็นป้อมสีขาวสะอาดตา มีปืนใหญ่วางเรียงรายอยู่ ก็คือป้อมวิไชยประสิทธิ์


- ป้อมวิไชยประสิทธิ์




เป็นป้อมที่จะเห็นปืนใหญ่วางเรียงรายอยู่มากมาย ถ้าปีนขึ้นไปก็คงจะเห็นเมืองทั้งเมืองได้ไม่ยากเลย

ย้อนกลับไปสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนู้นน่ะ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีเหตุให้ต้องกังวลนั่นนี่ว่าอยุธยาจะมีเหตุต้องมีปัญหากับฮอลันดารึเปล่า สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดเกล้าให้ชาวกรีกคนหนึ่งที่มารับราชการในไทยชื่อว่า “เจ้าพระยาวิไชเยนทร์” มาสร้างป้อมเอาไว้ที่เมืองบางกอก(สมัยนั้นบางกอกยังไม่ใช่ราชธานี เป็นแค่เมืองเมืองนึง) ก็เลยมีชื่อว่า “ป้อมวิชัยเยนทร์” หลังจากรัชสมัยของพระนารายณ์ก็ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ป้อมนี้แล้ว


มาถึงสมัยที่เสียกรุงฯครั้งที่ 2 พระเจ้าตากสินอพยพผู้คนมาเพื่อกอบกู้อิสรภาพมาสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี(วังก็จะอยู่แถวๆป้อมนี่ล่ะ) ก็เลยทรงเปลี่ยนชื่อป้อมนี้ใหม่จากป้อมวิชัยเยนทร์ เป็น “ป้อมวิไชยประสิทธ์”






ดูรอบๆแล้วก็ถึงเวลาเข้าไปข้างในกันซะที ไปกันนนน


ข้างหน้าจะมีพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย ดูคลาสสิคมากๆ

 เข้ามาแล้วววว หันไปทางซ้ายนิดส์ ก็จะเห็นเรือนสีเขียวไข่กา เป็นเรือนไม้ขนมปังขิง เรียกว่า เรือนเขียว

- เรือนเขียว  


 เป็นอาคารโรงพยาบาลเดิมของโรงเรียนนายเรือ ตอนนี้เป็นอาคารที่มีไว้ฉายวีดีทัศน์ และข้างๆก็มีห้องน้ำสะอาดๆให้เข้ากันด้วย

แล้วเราก็เดินมาทางฝั่งขวา จะเห็นอาคารทรงจีนๆอยู่

-  อาคารเก๋งคู่ (หลังเล็ก-หลังใหญ่) 
สร้างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนนี้เป็นที่ใช้จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านการรบ เศรษฐกิจ ศาสนา มีพวกอาวุธ ดาบ และข้อมูลไวนิลต่างๆ ซึ่งห้องนี้ห้ามถ่ายรูป(เพราะโบราณวัตถุอาจต้องมีวิธีการอนุรักษ์ที่ละเอียดอ่อนนิดนึง)นะจ๊ะ



            
                               
  อาคารเก๋งคู่หลังเล็ก





-ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

ถัดมาจากอาคารเก๋งทั้ง2หลัง ก็จะเป็นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน คนมากมายมหาศาลมากๆๆเลย ศาลหลังนี้เป็นศาลที่สร้างขึ้นแทนศาลหลังเก่าที่ทรุดโทรมไป ข้างในก็มีรูปหล่อบูชาพระเจ้าตากสินขนาดใหญ่ตั้งให้สักการะบูชา  เราไม่ได้เข้าไปแต่ขออนุญาตซูมดูอยู่ข้างนอก ^^






- ศาลศีรษะปลาวาฬ

ถัดมาทางด้านขวาของศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน จะมีศาลที่ไว้กระดูกศีรษะของ “ปลาวาฬ”!! ใช่แล้วปลาวาฬของจริงไม่ใช่นามแฝงใดๆ ประวัติก็คือในอดีตนี่นะมีการขุดเจอโดยบังเอิญอยู่ใต้ถุนศาลของสมเด็จพระเจ้าตากสิน! ก็เลยจัดทำเป็นที่จัดแสดงให้เหมาะสม



 ด้านหน้ามีโถอะไรสักอย่างที่ดูขลังดี


 ส่วนอันนี้อยู่ด้านข้างๆของศาลกระดูกปลาวาฬ ไม่แน่ใจว่าใช้ทำอะไรแน่ชัด แต่เห็นมีเอาไปรองเป็นแท่นวางกระถางต้นไม้สวยๆก็เก๋มากๆ



- ท้องพระโรง

ส่วนนี้คนเยอะมากข้างใน เราเลยขอไม่เข้าไปดูอยู่บริเวณรอบๆ มีระฆังโบราณ และนิทรรศการที่ติดเป็นข้อมูลไวนิลให้ได้อ่านกันมากมาย รวมทั้งมีให้สั่งจองรูปหล่อบูชาของพระเจ้าตากขนาดเล็กสำหรับผู้ที่ศรัทธา













หลังจากชมอาคาร ไหว้สมเด็จพระเจ้าตากฯก็เที่ยงพอดี ต้องหาอะไรกินซะหน่อย เดินออกมาจากบริเวณของกองบัญชาการกองทัพเรือ เลียบไปทางขวาเห็นยอดปรางค์วัดอรุณฯอยู่ใกล้ๆ ถนนสายเล็กนี้ๆจะพาเราไปสู่ร้านอาหารแสนอร่อย!!!





 ผ่านร้านกล้วยทอด มีขายขนมไข่เต่า(ไข่นกกระทา) อร่อยมากๆๆๆขอบอก

ข้าวมันไก่แสนอร่อยๆๆๆ โชคดีมากๆที่ร้านยังขายไม่หมด เพราะออกมาตอนสายแล้ว ไก่เนื้อแน่นๆ ราคาไม่แพง ส่วนเครื่องดื่มไม่ต้องงงว่าทำไมสีแปลกๆ จริงๆสั่งอัญชัญมะนาวมา ถ่ายไม่ทันกินไปครึ่งแก้วแล้วเติมนำ้ชาต่อ555 สีเลยจะเก๋ๆหน่อย ^^


2. วัดอรุณราชวราราม



กินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางเที่ยวไหว้พระกันต่อ มาถึงนี่แล้วก็ต้องเข้าวัดอรุณฯนะไม่งั้นเสียเที่ยวเปล่าๆ อันที่จริงนี่นะ วัดอรุณฯเป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้วนะ 

แต่ตอนนั้นบางกอกยังไม่ได้เป็นเมืองหลวงไง ก็เป็นวัดปกติชื่อว่า “วัดมะกอก” แต่พอพระเจ้าตากสินมาตั้งราชธานีที่ธนบุรีแล้วมีพระราชวังหลวงอยู่ติดกับวัดอรุณฯพอดี วัดมะกอกก็เลยเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดแจ้ง” เพราะตอนพระเจ้าตากสินกรีฑาทัพมาเจอตอนเช้า(อรุณ)พอดี

หลังจากนั้นวัดแจ้งก็เลยกลายเป็นวัดที่ตั้งอยุ่ในเขตพระราชฐานไปโดยปริยายซึ่งวัดแบบนี้ก็จะไม่มีพระจำพรรษา และสมัยนั้นก็ได้มีการอัญเชิญ "พระแก้วมรกต" และ "พระบาง"(จากเวียงจันทร์) มาประดิษฐาน 

เมื่อสิ้นรัชกาล มีการย้ายราชธานีจากธนบุรีไปอีกฟากของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็น “กรุงเทพมหานคร” รัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ที่วัดพระแก้ว ส่วนพระบางทรงพระราชทานคืนไปเวียงจันทร์ แล้ววัดอรุณก็กลับมาเป็นวัดที่มีพระจำพรรษาปกติอีกครั้ง


"ใบเสมา" บ่งบอกถึงพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ

ช้างสำริด มีอยู่หลายตัวเลย อยากให้สังเกตที่งวงดีๆ แต่ละตัวจะทำงวงไม่เมือนกัน




รอบพระอุโบสถมีประเบียงคด ใต้ฐานพระจะมีการเก็บกระดูกของผู้เสียชีวิตไว้ด้วย





พระอุโบสถเป็นแบบไทยประเพณี สมัยรัชกาลที่2 มีการซ่อมแซมจากเป็นไม้ ในรัชกาลที่5 และปรับปรุงเรื่อยมา

มีตุ๊กตาจีนวางเรียงรายเป็นแถวแนว อยู่หน้าพระอุโบสถ






หน้าบันเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑ









ด้านหน้าพระอุโบสถมีพระพุทธรูป พระพุทธนฤมิตร  สร้างสมัยรัชกาลที่4

 
พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่รัชกาลที่ 2 ทรงปั้นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง! นอกจากที่ที่ฐานพระก็ยังมีพระบรมอัฐิของรัชกาลที่2บรรจุอยู่ด้วย

จิตรกรรมในพระอุโบสถ จะเป็นเรื่องราวของ "ชาดก" ตอนต่างๆที่เล่าถึงชาติต่างๆของพระพุทธเจ้า









มณฑปพระพุทธบาทจำลองสมัยรัชกาลที่ 3

 ประดับประดาด้วยกระเบื้องสีต่างๆ สวยมากๆๆๆๆ

จุดเด่นที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปก็คือ “พระปรางค์” วัดอรุณฯ แรกเริ่มเดิมทีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จะเป็นพระปรางค์ องค์เล็กๆสูงแค่ 8 วา เท่านั้นเอง! เวอร์ชั่นที่เราเห็นกันทุกวันนี้เป็นการสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่2 กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ล่วงเลยมาถึงรัชกาลที่ 3 

ซึ่งพระปรางค์นี้เป็นพระปรางค์ที่มีการออกแบบให้วิจิตร เป็นลักษณะที่เรียกว่า "ทรงจอมแห"  เพราะมีการโค้งมนเหมือนแหที่ทิ้งนำ้หนักเวลาถูกยกตัวขึ้น เก๋ไก๋กว่าที่คุ้นเคยแบบฉบับอยุธยา ทั้งขนาดพระปรางค์และการตกแต่ง ถือได้ว่าเป็นพระปรางค์ที่ยิ่งใหญ่ในยุครัตนโกสินทร์เลยทีเดียว



มีการประดับประดาด้วยกระเบื้องสีสวยต่างๆ มี"ซุ้มจระนำ" ที่เก๋กว่าเดิม ปกติมักใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป แต่ที่นี่จะเป็น "พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ" ถือเป็นการเชื่อมโยงเกี่ยวกับคติฮินดูเรื่องไตรภูมิ ที่พระปรางค์เป็นเหมือนเขาพระสุเมรุอยู่กลางมหานทีสีทันดร(ในอยุธยาก็ใช้คติเดียวกันในการสร้างพระปรางค์)


ยอดพระปรางค์เป็น "นภศูล" ปิดทอง แล้วก็มีพระมหามงกุฎ ที่รัชกาลที่3 ทรงดำริให้ยืมมงกุฏที่หล่อสำหรับพระประธานที่วัดนางนองมาเป็นยอด(ตอนนี้ที่วัดนางนองก็มีมงกุฏในแบบเดียวกันเช่นกันนน)


ที่องค์พระปรางค์จะมี "พลแบก" มีทั้ง มารแบก(ยักษ์) และกระบี่แบก(ลิง) เปรียบเหมือนการแบกสรวงสวรรค์เป็นเหมือนผู้ปกป้องคุ้มครอง



 ตุ๊กตาน้องแพะ ^^


 มีปรางค์ประธาน 1ปรางค์ และปรางทิศ 4 ปรางค์
ต้นโพธิ์ที่มีการผูกสายสิญจน์เตรียมการสวดมนต์ข้ามปีในวันปีใหม่




ตุ๊กตาหิน รูปสัตว์อะไรสักอย่าง ดูเก๋ดี

หน้าบันประดับด้วยกระเบี้ยง(ที่ทำจากด้วยกระเบื้องตัดเป็นชิ้นๆ) จัดเรียงเป็นรูปดอกไม้สวยงามมาก


"ยักษ์วัดแจ้ง" ในตำนานอันโด่งดัง ที่เห็นอยู่นี้เป็นรูปปั้นทวารบาลที่เป็นรูปยักษ์ที่เราคุ้นเคยกันดีในรามเกียรติ์ ทางซ้ายคือ "ทศกัณฐ์" ส่วนทางขวาคือ "สหัสเดชะ"(เหมือนจะเป็นหลานของทศกัณฑ์นะ)

ตามเรื่องเล่าคือยักษ์วัดแจ้ง มีเรื่องทะเลาะกับ "ยักษ์วัดโพธิ์" (วัดพระเชตุพนฯ) ซึ่งยักษ์วัดโพธิ์ที่ว่านี้นะถ้าใครจะไปตาม โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นตุ๊กตาหินจีนตัวใหญ่นะ อันนั้นจะเรียกว่า ลั่นถัน เป็นขุนนางจีนฝ่ายบู้ ยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริงจะอยู่ที่ประตูมณฑปเก็บพระไตรปิฎก มีอยู่ 4 ตนคือ "แสงอาทิตย์"(หลานทศกัณฐ์) ขร (น้องทศกัณฐ์) สัทธาสูร(เพื่อนทศกัณฐ์) และไมยราพ เจ้าเมืองบาดาล

แล้วทำไมถึงทะเลาะกัน?...มันก็เป็นตำนานของ "ท่าเตียน" อีกแหละว่า จริงๆยักษ์ 2วัดนี้เป็นเพื่อนกันแหละแต่มีเหตุยืมเงิน เบี้ยวหนี้ เลยทะเลาะกันจนพื้นที่ตรงนั้นโล่งเตียนไปหมด แล้วก็เรียกว่า ท่าเตียน พระอิศวร(พระศิวะ)เห็นก็เลยลงโทษด้วยการสาปเป็นหินให้เป็นทวารบาล!




แท่นหินสลักเป็นลายเถาวัลย์ ดอกไม้สวยมกๆ



3. วัดนาคกลาง
 
ห่างจากวัดอรุณฯและพระราชวังเดิมมาไม่มาก(แค่ประมาณ 500 เมตร) มาที่วัดอินดี้ๆ เงียบสงบกันบ้าง ว่ากันว่า “วัดนาคกลาง” แห่งนี้เป็นวัดโบราณตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้ว มีการสันนิษฐานว่าอาจเคยเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานีด้วย เป็นการรวมวัด 2วัดคือวัดนาค และวัดกลาง 

ที่วัดนาคกลางนี้มีพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันมากคือ “หลวงพ่อโคนสมอมหาลาภ
เป็นพระพุทธรูปปางถือผลสมอ! แล้วก็มีอิริยาบถแบบปางมารวิชัยคือ นั่งขัดสมาธิเพชร แล้วมือซ้ายวางหงาย ว่ากันว่าท่านมีพุทธคนเด่นด้านรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยนะ



เดี๋ยวนี้มีวอลเปเปอร์รูปเทพพนมลายวิจิตรให้ติดผนังก็สะดวกและสวยงามดีเหมือนกัน


บานประตูโบราณ มีภาพวาดสวยๆเป็นร่องรอยบ่งบอกอดีต ^^




เดินตรงไปข้างในเลยก็จะพบ “ศาลาสุธรรมภาวนา” เป็นศาลาที่มีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าตากสินในหลากหลายอิริยาบถ แล้วก็ปั้นได้สวยมากๆ





น้องกระรอกกำลังกินกล้วยที่พี่ๆใจบุญเอามาแขวนให้อย่างเอร็ดอร่อย









4.เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์

ไว้พระหนำใจที่กรุงธนฯแล้วก็ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่งเข้าสู่พระนครกันเลย มุ่งหน้ามาที่เสาชิงชา สู่ “เทวสถาน” โบสถ์พราหมณ์!!!





เมื่อครั้งที่มีการตั้งกรุงเทพฯเป็นราชธานีใหม่ รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวบรวมพราหมณ์ทั้งหลายมาอยู่ในราชสำนัก(เพราะพิธีกรรมส่วนใหญ่ของไทยตั้งแต่ก่อนสุโขทัยนู้น ได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์-ฮินดูเยอะมากๆ) พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์พราหมณ์ ไว้ประกอบศาสนพิธี และพระราชพิธีนั่นนี่นู่น แล้วก็การเซ็ตเมืองหลวงใหม่ อย่างบางกอกนี้ก็ต้องมีการสร้างเสาชิงช้า(ประกอบพิธีโล้ชิงช้า/พิธีตรียัมปวาย)



ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น 2556 ด้วยนะ


ด้านหน้าจะมีพราหมณ์และเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ พร้อมจำหน่ายวัตถุมงคล(ที่สวยมากๆ) มีพวงมาลัยดาวเรืองที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ คือพวงมาลัยดาวเรืองที่เราคุ้นเคยจะมีการร้อยแทรกด้วยดอกกุหลาบแดงและ “ลูกมะนาว”เข้าไปด้วย! จากการถามเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ได้คำตอบว่า มะนาวเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายสิ่งไม่ดีออกไปจึงนิยมนำมาร้อยใส่พวงมาลัยสไตล์อินเดียจ้า

 ใครที่จะมาอยากให้ลองสืบข้อมูลดูซักเล็กน้อยก่อนมานะ เพราะที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัดเครื่องการแต่งกายให้สุภาพ และห้ามถ่ายรูป หรือวีดิโอ(ยกเว้นจะได้รับการอนุญาต) ส่วนหนึ่งคิดว่า อาจเพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลยจึงต้องให้เกียรติสถานที่นิดนึง อีกอย่างคือเทวรูปที่นี่มีอายุค่อนข้างมากแล้ว(อาจต้องมีการดูแลรักษาที่เฉพาะทางหน่อย) ภาพที่เราเอามาใช้เล่าเพื่อความรู้ในครั้งนี้จึงขออนุญาต แคปมาจากรายการ “กระจกหกด้าน” ที่ได้ถ่ายทำไว้อย่างสวยงามมากๆ รวมถึงข้อมูลบางส่วน ก็จะสรุปเอามาเล่าใหม่สไตล์เราแล้วกันนะ (ใครอยากไปดูรายการ ก็ไปที่ลิงค์นี้นะ https://www.youtube.com/watch?v=6qIbmd0CX0Q)


 
มาจ้าตามมาๆ เข้ามาที่เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ ข้างนอกสุดจากทางเข้าโบสถ์สามารถมองเห็นเข้ามาจากหน้าคือ ซุ้มของพระพรหม


 มีอาคารหลักๆ 3 อาคารคือ สถานพระอิศวร  พระพิฆเนศ พระนารายณ์ 



- สถานพระอิศวร(พระศิวะ)
 
สถานพระอิศวร(พระศิวะ) เป็นหลังอาคารหลังใหญ่ กว่าองค์อื่นๆเพราะที่นี่นับถือไศวนิกายคือจะนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด

หน้าบันเป็นรูปพระศิวะ และพระแม่อุมา อยู่ในวิมาน และใต้วิมานมีโคที่ชื่อว่า นนทิเป็นภาหนะของพระศิวะ
 



 ข้างในอาคารจะมีองค์ประธานเป็นพระศิวะสำริดศิลปะแบบสุโขทัย จากความรู้เท่าที่เรามี เทวรูปที่ขนาบข้างคือ เทวรูปศิวนาฏราช(เป็นปางร่ายรำของพระศิวะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการทำลายสิ่งชั่วร้าย สร้างสรรค์สิ่งใหม่) ด้านซ้ายเป็นเทวรูปพระแม่ปารวตี(พระแม่อุมา)ผู้เป็นชายาศิลปะแบบอินเดียใต้

 เยื้องมาทางซ้ายล่างเทวรูปที่ถือฟลุตคือพระกฤษณะ และพระแม่ราธาศิลปะแบบอินเดียเหนือ แล้วก็มีเทวรูปต่างๆอีกที่เรามองเห็นไม่ค่อยชัดคิดว่ามีแบบที่เป็นศิลปะขอมอยู่ด้วย สวยและขลังมากๆ บรรยากาศข้างในก็เงียบสงบเหมาะแก่การเข้ามาสักการะมากๆเลย



 ด้านล่างเยื้องมาทางข้างหน้ามีพระพรหมอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วย พระศิวะ และพระแม่อุมา ทรงโคนนทิ(เป็นภาหนะของพระศิวะ) เสาข้างหน้าสีขาวๆ เรียกว่า “เสาหงส์” ไว้ใช้ทำพิธี “ช้าหงส์”(ในพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย)


 ด้านซ้ายๆ จะมีซุ้มแผ่นไม้สลักเป็นรูป พระแม่ธรณี(มีอีกชื่อว่าภูมิเทวี) พระแม่คงคา แล้วก็พระอาทิตย์ กับ พระจันทร์(ที่เป็นวงกลมสีแดงและเหลือง)



ถัดจากสถานพระอิศวร เป็น พระศิวลึงค์(เป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะเป็นรูปตัดทอนมาจากอวัยวะเพศชาย) บนฐานโยนี(ตัดทอนมาจากรูปอวัยวะเพศหญิง) หมายถึงต้นกำเนิดชีวิตความอุดมสมบูรณ์ ที่ต้องอาศัยความสมดุลของเพศหญิงและเพศชาย







- สถานพระพิฆเนศ 
มีองค์ประธานเป็นพระพิฆเนศสำริดศิลปะสุโขทัย ขนาบข้างด้วยพระพิฆเนศหิน



- สถานพระนารายณ์ (พระวิษณุ)

 องค์ประธานเป็นพระนารายณ์(พระวิษณุ)สำริดศิลปะสุโขทัย ขนาบข้างด้วยพระแม่ลักษมี และพระภูมิเทวี(พระแม่ธรณี)เป็นไม้หุ้มด้วยยางรัก (ในบางตำนานพระแม่ธรณีถือเป็นหนึ่งในชายาของพระนารายณ์ด้วย)ศิลปะแบบอินเดีย(น่าจะเป็นอินเดียใต้)  ข้างซ้ายสุดนอกซุ้ม น่าจะเป็นพระรามที่ถือคันศรอยู่เป็นหนึ่งในร่างอวตารของพระนารายณ์

 

 เพดานสีแดง ปิดทองสวยงามมม



ที่พื้นทำหินอ่อน(จุดหนึ่ง)เป็นรูปดอกบัว มีความเชื่อว่าถ้ากราบลงบนดอกบัวนี้ ก็จะเหมือนได้กราบลงแทบพระบาทขององค์เทพ(สังเกตได้จากในเทวรูปส่วนใหญ่จะมีดอกบัวอยู่แทบเท้าเสมอๆ)


อันที่จริงแล้วองค์ประธานพระพิฆเนศศิลปะสุโขทัยที่อยู่ที่โบสถ์พราหมณ์นี้ มาเป็นเซ็ตเดียวกับพระอิศวร(พระศิวะ) และพระนารายณ์ที่ปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เหตุผลที่อยู่แยกกันเพราะมีอยู่ช่วงนึงที่กรุงเทพน้ำท่วม จึงต้องขนย้ายเทวรูปบางส่วนไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ฯ(บางส่วนก็หายไป) ใครจะตามไปดูให้ครบเซ็ตก็ตามไปที่พิพิธภัณฑ์โลดบอกเลยว่าสวยงามอลังการมากๆๆๆๆ

                                                              พระศิวะศิลปะสุโขทัย ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

                                พระนารายณ์ศิลปะสุโขทัย ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
 
อาคารข้างในมี "หอเวทวิทยาคม "
 เป็นอาคารหลังใหญ่อยู่ด้านหลังพระศิวลึงค์ มีส่วนที่เป็นสำนักงานเทวสถาน และส่วนที่เป็นห้องสมุดเก็บหนังสือที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์- ฮินดู รวมไปถึงวรรณกรรมและวรรณคดีที่เกี่ยวข้อง ปกติจะสามารถเข้าใช้บริการได้แต่ตอนที่เราไปนี้เจ้าหน้าที่บอกว่ายังเข้าไม่ได้เพราะเพิ่งมีการทำระบบใหม่เลยยังปิดปรับปรุงอะไรประมาณนั้นนะจ๊ะ ใครจะเข้าอาจต้องลองถามเจ้าหน้าที่ดูก่อน ^^





ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อิ่มพอดี เดินย้อนเข้าไปในซอยแถวๆศาลเจ้าพ่อเสือ ไปกินหอยทอด และขนมปังเย็น(ร้านอยู่ติดกันเลย)ให้หนำใจเลย ร้านนี้บอกเลยว่าอร่อยเด็ด








อิ่มแล้วกลับบ้านได้สำหรับวันนี้ 4 วัดก็เพียงพออิ่มบุญอิ่มใจกันไป ไว้โพสหน้าจะพาไปเที่ยวไหนกันอีก ฝากอ่านกันด้วยน้าาาา ^^



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.youtube.com/watch?v=nb_lahgoiMs
https://mgronline.com/travel/detail/9600000006698
https://today.line.me/th/pc/article/10+เรื่องน่ารู้ที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ+‘วัดอรุณฯ’-LOM0Ma
https://www.winnews.tv/news/10179 
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30511.html 
https://www.voicetv.co.th/read/526132 

***การเขียนอะไรสักอย่างนึง ต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะมาก ฝากติดตามด้วยน้าาา เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อ...ร่วมพูดคุย และกดไลค์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ในเพจ
https://www.facebook.com/PanchaliWriter

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม