พาเที่ยวกรุงธนฯ “ชุมชนกุฎีจีน” และมัสยิดทรงไทย!






หยุดวันพ่อ 1วันถ้วน! ก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวซะหน่อย ก่อนหน้านี้อ่านรีวิวไปเดียวชุมชนกุฎีจีน เลยจัดตามรอยไปซะเลย เป็น One Day Trip ที่เต็มอิ่มมากๆ
พร้อมแล้วมาเลยดีกว่า 

วาร์ปไปธนบุรีกันเลยยย

...............................................
“ชุมชนกุฎีจีน” คืออะไร??

“กุฎีจีน” (กุฎี=ที่อยู่นักบวช) ว่ากันว่าที่แถวนี้เคยเป็นหมู่บ้านที่พระจีนอยู่!…

สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯมาตั้งกรุงธนบุรี มีผู้คนจากอยุธยาตามอพยพกันมามากมายเลย ก็เลยมีการตั้งที่อยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มๆ ระแวกของ “คลองกุฎีจีน” ทางทิศเหนือจะเป็น “ชาวจีน” ส่วนทางริมน้ำลงมาจะเป็นที่อยู่ของ “โปรตุเกส”(ก็มาจากอยุธยาเหมือนกัน) มีชื่อเรียกว่า “ฝรั่งกุฎีจีน” (เป็นที่มาของชื่อขนมแสนอร่อยที่มีเค้าลายจากขนมหวานท้าวทองกีบม้านั่นเอง!!)

“ชุมชนกุฎีจีน” จึงเรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมชนที่รวมผู้คนหลายเชื้อชาติ ศาสนา ที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตก แล้วอพยพมาตั้งเมืองที่ธนบุรีนี่นั่นเอง มีทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม เลยนะจ๊ะ

ว่าแล้วก็ไปกันที่แรกเลย

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร




สมัยก่อนที่ตรงนี้เป็นหมู่บ้านที่มีพระจีนอยู่ ก็เลยเรียกต่อๆกันมาว่า “หมู่บ้านกุฎีจีน” ต่อมาก็เลยมีการสร้างเป็นวัดอารามหลวงถวายรัชกาลที่ 3 ได้ชื่อว่า “วัดกัลยาณมิตร” ศิลปะของวัดแห่งนี้จึงเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับจีนอย่างลงตัวมากๆ ถือเป็นจุดนัดพบ-เริ่มต้นจุดหมายในการเดินทางเข้าชมชุมชนแห่งนี้เลยล่ะ














 ที่โด่งดังมากๆของวัดนี้คือมีวิหาร “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นที่นับถือกันมากๆเลย

มีจิตรกรรมที่เสา วาดเป็นรูปดอกไม้หลากหลายสีสวยจริงๆ


 
ส่วนพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์

ทางฟากนี้จะดูไทยๆขึ้นมานิดนึง มีจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพระพุทธเจ้า และมีการวาดสถาปัตยกรรมแบบไทย และจีนอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็เก่ามากแล้วเสียหายไปเยอะเหมือนกัน






ไหว้พระกันเสร็จแล้ว เดินมาอีกฟากหนึ่งของบริเวณวัดเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีทางเดินที่สามารถเดินลัดเลาะเข้าสู่ “ชุมชนกุฎีจีน” ได้เลย! มีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ สะดวกมากๆ






 

 

สถานที่ต่อไป

ศาลเจ้าแม่กวนอิม




ว่ากันว่าที่ตรงนี่แรกเริ่มเดิมที ชาวจีนที่อพยพตามพระเจ้าตากสินมาอยู่ที่กรุงธนบุรีนี้ สร้างศาลเจ้าขึ้นมา 2หลัง เป็น “ศาลเจ้าโจวซือกง” กับ “ศาลเจ้ากวนอู” แต่ต่อมาชาวจีนฮกเกี้ยนสมัยรัชกาลที่หนึ่ง ก็ได้รื้อ 2ศาลนี้ แล้วยุบรวมเป็นศาลเดียว โดยอัญเชิญ “เจ้าแม่กวนอิม” มาเป็นองค์ประธานวันเวลาผ่านไปศาลเจ้าก็ทรุดโทรมไปเยอะ จนถึงสมัยรัชกาลที่5 จึงได้มีการบูรณะอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นจนถึงทุกวันนี้เลย










ถือเป็นศาลเจ้าที่สวยแบบขนลุกมากๆ ไม่คิดว่าศาลเจ้าที่ทำจากไม้จะสามารถสวยได้เบอร์นี้ อยากให้ไปเห็นของจริงมาก สวยกว่าในรูปเยอะเลยนะ วันที่เราไป มีน้องๆ(น่าจะเป็นนักศึกษาศิลปะ) มานั่งวาดรูปศาล อยู่ข้างหน้าด้วย ได้ฟิลมากๆ ^^ สามารถถ่ายรูปได้เฉพาะข้างหน้านะจ๊ะ ข้างในห้ามถ่ายรูป อาจเพราะเหตุผลเรื่องการอนุรักษ์เพราะศาลก็เก่ามากแล้วจริงๆ


โบสถ์ซางตาครู้ส (หมายถึง ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์)



 ที่ดินตรงนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังเดิม(ธนบุรี) สมเด็จพระเจ้าตากสินได้พระราชทานที่ดินให้สร้างเป็นโบสถ์สำหรับชาวคริสต์ โบสถ์หลังปัจจุบันนี้นี้เป็นเวอร์ชันที่ซ่อมแซมเป็นปูนแล้ว หลังจากที่เวอร์ชันดั่งเดิมที่เป็นไม้ถูกไฟไหม้ไป เป็นการเลียนแบบสถาปัตยกรรมอิตาเลียนทั้งหมด  ซึ่งคนที่อาศัยดั้งเดิมละแวกนี้จะเป็นคาทอลิกทั้งหมด ...แอบเสียดายนิดนึงที่ช่วงที่มาโบสถ์ยังไม่เปิด ต้องรออีกหลายชั่วโมง เลยถ่ายรูปรอบๆไปแล้วกัน ^^








 พักกินข้าวเที่ยงกันก่อน... เราก็หาอะไรกินแถวนั้น ได้ร้านอาหารสไตล์โฮมเมดอินดี้ๆ สบายๆมาในลิสอีกร้าน ร้าน นี้ต้องสังเกตดีๆหน่อยนะ มันจะมีร้านที่คนเยอะๆร้านนึง(ใครหิวรอไม่ไหวก็ตามเรามา555) ร้านนี้ป้ายไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ร้านสงบดี มีอาหารอร่อยๆอยู่ในนั้นด้วยยยย...เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย  เป็นร้านของคุณลุงคุณป้าที่เป็นคนดั้งเดิมของที่นี่อีกนั่นแหละ เมนูที่กินคือ "ขนมจีนแกงไก่คั่ว" และ "ยำไก่จ๋า"เมนูที่คุณลุงคิดขึ้นมาเอง
บอกเลยว่าอร่อยอย่าบอกใคร!!





อิ่มแล้วก็เดินกันต่อ  ลัดเลาะไปทางหลังโบสถ์อ่านตามป้ายนำทางเอา

พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน 



 
สามารถเข้าได้ “ฟรี” เป็นพิพิธภัณฑ์สไตล์ โฮมเมดที่น่ารักมากสัมผัสได้ถึงความรัก ความใส่ใจและความพยายามของผู้สร้าง ซึ่งก็เพิ่งจะสร้างขึ้นในปี 2560 นี่เอง โดยคุณฉัตรชัย และคุณนาวินี และครอบครัว ซึ่งมีความตั้งใจจริงจะทำพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อนำเสนอประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และงดงามของชุมชนแห่งนี้
บริเวณหน้าบ้านจะขายขนม กาแฟ ของที่ระลึก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะแยะเลย ตัวบ้านแบ่งเป็นฟากทางขึ้นและลงเป็นสัดส่วนดีมากๆ แล้วก็ยังมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปมองวิวสวยๆข้างบนด้วยนะ















 ยังคงมุ่งหน้าหาอาหารต่อ 555 มาย่านนี้แล้วจะไม่ได้ขนม "ฝรั่งกุฎีจีน" กลับไปก็ถือว่ามาไม่ถึง ก็เลยมุ่งไปที่ร้านนี้เลย "ธนูสิงห์"


ร้านธนูสิงห์ 




  เป็นร้านขนมกุฎีจีน ที่ทำในสไตล์เค้ก เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆที่จัดน่ารักๆกันเอง มีกาแฟหลากหลายสูตรให้เลือกทาน
 ส่วนใครชอบขนมกุฎีจีนในเวอร์ชั่นที่แห้งๆหน่อย ก็ไปอีกร้านหนึ่งซึ่งก็ดังมากๆเหมือนกันคือ ขนมกุฎีจีนสูตรแม่เป้า หรือจะเป็นลูกหลานท่านก็อร่อยเหมือนกันล่ะ

เดินกลับออกถนนใหญ่กันดีกว่า ระหว่างทางเตะตาบ้านทรงไทยหลังนี้

บ้านของนายห้าง วินด์เซอร์




หรือเรียกอีกชื่อว่า นายฮันเตอร์ เป็นเจ้าของห้างแห่งแรกในไทยที่เรารู้จักกันในชื่อ “ห้างหันแตร”(สำเนียงไทยเป๊ะเวอร์^^)


มัสยิดบางหลวงมัสยิดทรงไทยแห่งเดียวในโลก

เดินมาเรื่อยๆ ทะลุออกนอกบริเวณวัดกัลยาณมิตรละ ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเข้าสู่ชุมชนของชาวมุสลิม นิกายซุนนี ที่อพยพมาจากรุงศรีอยุธยา(สมัยนู้นน่ะนะ)
 

 คาดว่ามัสยิดหลังแรกสร้างสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนหลังปัจจุบันที่เห็นนี้สร้างสมัยรัชกาลที่3 แล้วก็ปรับปรุงบูรณะเรื่อยมา



เป็นมัสยิดที่ดูแปลกตาออกไปมากจริงๆ เพราะโดยปกติมัสยิดจะไม่ได้ประดับตกแต่งด้วยลายไทย ที่นี่เป็นที่เดียวเลยล่ะ ที่ตกแต่งด้วยลายสไตล์นี้


ทีแรกที่ลัดเลาะเข้าซอยมาดู ก็พอเดาได้ว่าคงจะดูได้แค่อาคารข้างนอก เพราะโดยปกติถ้าไม่มีกิจจำเป็นมัสยิดจะไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้า ยกเว้นในกรณีเพื่อการศึกษา หรือให้ความรู้

แต่โชคดีมากๆๆ แบบมากจริงๆ ในตอนที่พวกเราพากันถามทางออกถนนใหญ่จะกลับกันอยู่แล้ว มามี้ของเราก็ดันไปถามได้ถูกคน โชคดีจริงๆได้มาเจอคุณลุงผู้เป็นคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดแบบบังเอิญมากๆ คุณลุงชื่อว่า “คุณลุงกริช”(ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกไหม?

ด้วยความคุยเก่ง และดูสนใจของมามี้น้านนนน ทำให้คุณลุงกริชอนุญาตให้เราสามารถเข้าไปชมภายในมัสยิดนี้ได้!!! (ดีใจสุดๆ)(แต่ผู้หญิงมีประจำเดือนเข้าไม่ได้นะจ๊ะ)



ข้างในจะเป็นโถงกว้างๆสำหรับไว้ละหมาด และมีกระโจมผ้าสำหรับเปลี่ยนชุด กลางห้องจะมีที่สำหรับให้อิหม่ามขึ้นบรรยายธรรมเรียกว่า"มิมบัร" (ในรูป) ซึ่งในแต่ละมัสยิดก็จะมีสไตล์แตกต่างกันไป

จากการไปถามเพื่อนมุสลิมมาเพิ่มเติม ก็คือ ส่วนที่เราเข้ามานี้จะเป็นมุมของผู้ชายที่ใช้ละหมาด ผู้หญิงกับผู้ชายจะถูกแบ่งโซนกันชัดเจน ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ทุกคนมีสมาธิที่สุด ตั้งใจนมัสการต่อพระเจ้า

ก่อนจะละหมาดจะมีการทำความสะอาด ล้างหน้า เช็ดแขน เช็ดคอ (อาบน้ำละหมาด)

ผู้หญิงที่มีประจำเดือนจะไม่ต้องละหมาดในช่วงนั้น และไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามัสยิด เหตุผลหนึ่งนอกเหนือจากการที่อาจจะเลอะเปรอะเปื้อนก็คือเพื่อความสะดวกของตัวผู้หญิงเอง คุณแม่บ้านที่ไม่สะดวกละหมาดที่มัสยิดก็สามารถละหมาดที่บ้านได้

เวลาละหมาด มัสยิดก็จะมีระบบเสียงกระจายให้ได้ยินโดยทั่วกัน(จะได้ยินแค่ในมัสยิดเท่านั้น) ส่วนเสียง ที่ดังว่า "อัลลออออออุอักบัร..." ที่เรามักได้ยินตามลำโพงจากมุมเสาไฟ เรียกว่า “อะซาน” เป็นการเรียกแจ้งเตือนคนละหมาดจ้า

แล้วก็ “สีเขียว” ในศาสนาอิสลามถือเป็นสีที่สำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับท่านนบีมุฮัมหมัด อะไรที่เกี่ยวกับมุสลิมจึงมักจะใช้สีเขียวกันน่ะนะ

โคมไฟสีเขียว ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่6

หลังจากชมมัสยิดเสร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแดดฤดูหนาวนั้น ทำให้พลังหายไปหมดสิ้นตัดสินใจกลับบ้านเลยแล้วกัน 
ก็คงจบทริปนี้เพียงเท่านี้!!!

ถือเป็นการเที่ยวชุมชนเก่าแก่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และสนุกมากๆ อยากให้ลองมาเที่ยวดูกันนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

- “คุณลุงกริช” คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด
- “สวย” เพื่อนผู้อธิบายธรรมเนียมการละหมาดของมุสลิม(ได้ดีมากๆ)
- https://rabbitweekend.com/560/kudichin/
- http://sameaf.mfa.go.th/th/country/middle-east/tips_detail.php?ID=5398&SECTION=39
- https://th.wikipedia.org/wiki/วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร


***การเขียนอะไรสักอย่างนึง ต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะมาก ฝากติดตามด้วยน้าาา เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อ...ร่วมพูดคุย และกดไลค์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ในเพจ
https://www.facebook.com/PanchaliWriter




ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม