เรื่องสั้น "คะนึงนิตย์" โดย ปัญจาลี




หลังจากยุคมืด สงครามโลกครั้งที่ 6 ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ มวลมนุษยชาติแทบจะถึงจุดสิ้นสุด นักวิทยาศาสตร์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์

ได้มีการคิดค้น และทดลองวิธีการมากมายที่จะทำให้มนุษย์เพิ่มจำนวนได้รวดเร็วที่สุด สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกได้นานที่สุด มีความสะดวกสบาย และมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยนำงานวิจัยที่เคยได้มีการศึกษาในสมัยก่อนยุคมืดนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้ได้ประสิทธิภาพ…

หากแต่ การทดลองก็คือการทดลอง ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบ หรือเป็นไปตามทฤษฎีที่คิดทั้งหมด แม้ว่าจะมีการทำนายว่ามนุษย์อาจสามารถเป็นอมตะได้ตั้งแต่เกือบร้อยปีที่แล้ว แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถมีชีวิตเป็นอมตะเลยแม้แต่คนเดียว


ในยุคสมัยนี้มนุษย์เรามีชีวิตที่สุขสบายมาก จนคนในร้อยปีที่แล้วอาจไม่สามารถจินตนาการถึงได้ เราแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราคุ้นชื่อว่า ‘เอไอ’ (AI: Artificial Intelligence) ถูกนำมาใช้ในงานแทบทุกๆงาน อาชีพที่มนุษย์ได้ทำจึงเป็นเฉพาะงานที่ต้องอาศัยทักษะที่เอไอยังไม่มี หรือไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

ที่แห่งนี้ต้นไม้สามารถงอกและตายได้จากการกระตุ้นด้วยเสียง แสง น้ำ และความชื้นที่ควบคุมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่นี่ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นการแตกกึ่งที่แท้จริงของต้นไม้ นอกเสียจากการตัดแต่งทรงพุ่มเป็นรูปทรงเก๋ไก๋ตามที่ต้องการ


โดยคุณคนสวนที่เป็นเอไอมากความสามารถ บรรดาสัตว์ที่เคยถูกเลี้ยงเพื่อนำเนื้อมาประกอบอาหารอย่าง หมู ไก่ หรือวัว ไม่จำเป็นต้องถูกฆ่าอีกต่อไป พวกมันสามารถเติบโตและมีชีวิตได้เท่าที่มันต้องการ เพราะเราสามารถผลิตเนื้อสัตว์ต่างๆได้เองโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

จากชิ้นเนื้อเยื่อเล็กๆผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เนื้อเยื่อนั้นแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์มีลักษณะดีและเหมาะสมต่อการบริโภค

ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นในทุกๆทาง ห่างไกลจากชีวิตในแบบหลายร้อยปีก่อนตามที่ฉันเคยได้อ่านเรื่องราวรันทดพวกนั้นจากในหนังสือ…แต่เปล่าเลย แม้บางคนจะพยายามหาวิธีให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

.นขณะเดียวกันก็ยังคงมีคนที่อยากจะทำลายมันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของตนเอง หรือผู้อื่น…บางที ต่อให้โลกในมุมมองของเราจะดูสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ความไม่สมบูรณ์แบบจะยังคงตามติดไปเช่นเดียวกับเงาตามตัว!

‘…ใครบางคนได้เขียนคำว่า ‘เ-ดแม่ง’ไว้บนผนัง มันทำให้ผมแทบคลั่งตาย… ถึงคุณจะมีเวลาสักล้านปี คุณก็ไม่อาจลบแม้ครึ่งหนึ่งของสัญลักษณ์ ‘เ-ดแม่ง’ ที่มีอยู่บนโลก เป็นไปไม่ได้เลย…’

ฉันปิดหนังสือปกแข็งเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งปกของมันเขียนไว้ว่า The Catcher in the Rye วรรณกรรมอเมริกันที่โด่งดังเมื่อนานมาแล้ว ฉันยืมมาจากห้องสมุดที่สถาบันวิจัยที่แม่ทำงานอยู่ การอ่านหนังสือเป็นเล่มอาจไม่นิยมแล้วในยุคสมัยนี้ แต่มันยังคงมีอยู่ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการอนุรักษ์

ในขณะที่ฉันกำลังจะปิดหนังสือลง ฉันเผลอทำนาฬิกาข้อมือไปเกี่ยวกับกระดาษสีเหลืองเปื่อยยุ่ยหน้าสุดท้ายขาด! ทันทีที่กระดาษแยกออกจากกัน บางสิ่งค่อยๆส่งเสียงแหลมเบาๆดังออกมาจากสันหนังสือ

หุ่นยนต์ตัวจิ๋วหน้าตาคล้ายแมงมุม ค่อยๆแทรกตัวออกมา มันเดินไปยังจุดที่กระดาษขาด แล้วมันก็เริ่มพ่นเยื่อกระดาษที่ถักทอหน้าส่วนที่ขาดหายไป ฉันปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมัน ข้อดีของหุ่นยนต์คือ มันมักไม่ได้ถูกตั้งโปรแกรมให้ด่าใครได้

มันมีหน้าที่ชัดเจนหน้าที่เดียว คือซ่อมแซมให้หนังสือกลับสู่สภาพเดิม ต่อให้คุณจะขีดฆ่า หรือเขียนด่าแม่ใครในหนังสือนั้น ตื่นเช้ามาวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างในหนังสือก็จะกลับสู่สภาพเดิม ราวกับไม่เคยมีใครเปิดอ่านมัน…

ใครจะไปรู้ว่าภายในเวลาไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ต่อให้มีใครทั่วโลกเขียนคำว่า ‘เ-ดแม่ง’ ทิ้งไว้รายทาง คุณก็จะไม่มีทางได้เห็นมัน เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง!

“พลอย!”

แม่ตะโกนเรียกฉันมาจากห้องนั่งเล่นข้างล่าง ฉันคิดว่าน่าจะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว พรุ่งนี้ถึงกำหนดวันที่จะต้องไปสแกนสมองอีกแล้ว ซึ่งแม่ก็มักจะเตรียมอาหารสุขภาพให้ฉันหนักกว่าในทุกๆวัน

“เดี๋ยวลงไปค่ะแม่”

ฉันขานรับแม่ ก่อนที่จะรีบเคลียร์ของบนโต๊ะให้หมด ฉันไม่ชอบตั้งของทิ้งไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนิสัยหวงแหนความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ ฉันคิดว่าไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ใดๆก็ควรจะต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ฉันเคยพยายามอธิบายเรื่องพวกนี้เสมอแต่แม่ก็มักจะมองเป็นเรื่องความเอาแต่ใจของฉันเสมอ

แม่บอกกับฉันว่า ฉันมีปัญหาด้านสมองมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้ฉันอายุใกล้จะบรรลุนิติภาวะอีกไม่กี่ปี ก็ยังคงต้องสแกนสมองอยู่ทุกๆสัปดาห์

อาชีพของแม่เป็นอาชีพยอดฮิตของคนในยุคนี้ ซึ่งก็คือ ‘นักวิจัย’ นั่นเอง วันๆก็ต้องทำงานอยู่ภายในห้องแล็บกับลุงป้าแก่ๆที่สมัยหนุ่มสาวคงเรียนหนักกันน่าดู และบรรดาเอไอวัยกลางคนที่ถูกออกแบบมาให้ดูมีความเป็นมนุษย์มากๆ หากแต่ก็ถูกจำกัดหน้าที่แค่เพียงทำตามคำสั่งเสียส่วนใหญ่

อาจเป็นเพราะเคยมียุคหนึ่งมนุษย์เกิดความหวาดระแวงความสามารถอันล้ำเลิศของเอไอ เกรงว่าจะเป็นการก่อความเสี่ยงต่อความเป็นไปของมวลมนุษย์ชาติอีกครั้ง ในยุคหลังจึงมีการจำกัดสิทธิ หน้าที่และความคิดของเอไออย่างชัดเจน

โครงการวิจัยยักษ์ใหญ่ที่แม่ทำมาทั้งชีวิตของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นเหตุให้เธอต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์แปรปรวน ยามที่ทำงานดึกดื่นค่ำคืนเสมอๆ
.
นั่นคือการวิจัยการถ่ายโอนความทรงจำของมนุษย์ มีชื่อว่าโครงการ “คะนึงนิตย์” ซึ่งศัพท์คำนี้น่าจะเป็นคำโบราณมากแล้วหมายถึง การที่คิดถึงใครอยู่เสมอๆ...

ฟังดูมันก็ลึกซึ้งดีอยู่ พอๆกับความลึกลับซับซ้อนของการวิจัยนี้ ที่ทุกอย่างดูปกปิดเป็นความลับ และมีหลายหน่วยงานอยู่เบื้องหลังโครงการนี้ หากแต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเอง อาจเป็นการรอคอยเวลาอะไรบางอย่างซึ้งฉันเองก็ไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งนั้น

โครงการนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการทดลองเล็กๆในการถ่ายโอนความทรงจำของทากทะเล จากการปลูกถ่าย RNA แต่สำหรับมนุษย์เรื่องของ ‘สมอง’และ‘จิตใจ’ มีรายละเอียดมากกว่านั้น จึงยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่รอคอยให้นักวิทยาศาสตร์ หาคำตอบได้อย่างไม่จบสิ้น


กลิ่นหอมละมุนของอะไรบางอย่างลอยตามลมมา มันเป็นกลิ่นที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ฉันปิดโคมไฟที่มุมโต๊ะเพียงแค่ดีดนิ้วเบาๆ ห้องทั้งห้องมืดลง มีเพียงแสงจากไฟนอกบ้านที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้อง ฉันเห็นเงาของตัวเองยืดยาวออกไป


“พลอย แม่รอนานแล้วนะลูก” แม่เริ่มตะโกนเรียกฉันอีกครั้ง


“ค่ะ แม่”
ฉันรีบวิ่งลงไปข้างล่างก่อนที่แม่จะอารมณ์เสีย แม่เป็นคนชอบออกคำสั่ง และเมื่อไหร่ที่ฉันทำเหมือนจะไม่ทำตาม ทุกอย่างก็จะดูเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงขึ้นมาเลย


ทันที่ที่ฉันลงมาถึงชั้นล่าง แม่เตรียมกับข้าวไว้พร้อมบนโต๊ะ วันนี้แม่ทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แม่บอกว่ามันคือของโปรดของฉัน แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจ และยังมีผลไม้หลายอย่างที่แม่มักจะชอบให้ฉันทาน แม้ว่าฉันจะเคยบอกบ่อยๆว่าฉันไม่ชอบมันเลย


บนโต๊ะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน มันมีกลิ่นหอมละมุนที่ฉันคุ้นเคยนั่นเอง มันเป็นดอกไม้สีขาวนวล มี6กลีบ และกลางดอกเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ฉันเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาจากโถอย่างเบามือ


“ดอกกรรณิการ์ไงลูก เรียกอีกอย่างว่า ปาริชาต มันมีตำนานน่าสนใจด้วยนะ” แม่พูดไปพลางขณะกำลังจัดแจงของบนโต๊ะอาหาร


“ปาริชาต เหรอคะ ชื่อเพราะจัง ตำนานอะไรคะแม่” ฉันชอบเรื่องตำนานและปรำปราเอามากๆ เพราะมันมักจะสอดแทรกความคิด ความเชื่อของคนสมัยนั้นเสมอ


“กินก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟัง”
ฉันคิดไว้แล้วว่าแม่คงยังไม่เล่าอะไรตอนนี้ แม่มักจะชอบทำอะไรเป็นอย่างๆ และท้ายที่สุดแม่ก็มักจะลืมว่าแม่เคยสัญญาอะไรไว้เสมอ... ฉันลากเก้าอี้แล้วนั่งลงก่อนจะหยิบช้อนและส้อมที่วางอยู่เบื้องหน้า


“น่ากินจังค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”

ฉันหันไปคุยกับแม่ก่อนจะตักน้ำซุปเข้าปาก ทันใดนั้นก็มีผงสีแดงจำนวนหนึ่งโรยลงบนก๋วยเตี๋ยวของฉั


“ใส่พริกป่นซะหน่อย” แม่ตักพริกป่นจากกระปุกใส่ชามก๋วยเตี๋ยวของฉัน โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยถาม


“ลูกชอบทานเผ็ดๆ นี่นา พริกจะทำให้ยิ่งเจริญอาหารด้วยนะ รับรองอร่อยมากๆ”
แม่ไม่ได้เงยหน้ามองฉัน เธอเริ่มต้นทานก๋วยเตี๋ยวในชามของเธออย่างอารมณ์ดี เพราะคิดว่านั่นคือรสชาติที่ดีที่สุดสำหรับฉัน

แม่มักจะทำเหมือนรู้ว่าฉันชอบอะไรอยู่เสมอ และหากว่าฉันปฏิเสธ เธอก็จะทำทีว่าฉันแค่จำไม่ได้...ว่าฉันเคยชอบ!...ความชอบ เป็นสิ่งที่คนเราจะสามารถลืมกันได้ง่ายๆเลยหรืออย่างไร?


‘หนูไม่ชอบทานเผ็ด!’
ฉันพูดในใจแล้วตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก เคี้ยวมันอย่างเงียบๆ จ้องมองดอกปาริชาตที่ฉันยังคงไม่รู้ถึงตำนานของมัน ‘หนูไม่ชอบทานก๋วยเตี๋ยว’ เสียงในหัวของฉันยังคงบ่นต่อไปเรื่อยๆ

‘หนูไม่ชอบผลไม้พวกนั้น’
‘หนูไม่ชอบให้แม่ทำท่าทีแบบนี้’
‘หนูไม่ชอบให้แม่ทำเหมือนหนูไม่มีสิทธิเลือกอะไร!’


ฉันหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ก๋วยเตี๋ยวเผ็ดเกินไปสำหรับฉัน ฉันจ้องมองแม่ทานมันอย่างเอร็ดอร่อย ‘แต่มันคงอร่อยสำหรับเธอ’ ฉันคิดแล้วกลับมาทานก๋วยเตี๋ยวแสนเผ็ดในจาน ดื่มด่ำกับความอร่อยที่แม่ได้เลือกให้กับฉัน


ฉันกลับไปค้นหาเรื่องราวของดอกปาริชาตทันทีที่ช่วยแม่ล้างจานเสร็จ มันเป็นดอกไม้บนสวรรค์ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ อยู่ในตำนานเทพปรณัมฮินดู เป็นของวิเศษที่ได้จากการกวนเกษียณสมุทรโดยมีคุณสมบัติสุดล้ำคือ เมื่อมีใครได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ จะสามารถจำอดีตของตัวเองได้!


แม่มักจะพูดถึงความผิดปกติทางสมองที่ฉันเป็น ส่งผลทำให้ลืมอดีตที่ผ่านมาเป็นเวลานาน แม่จะดูเป็นทุกข์เสมอเมื่อเธออยากจะให้ฉันจำอะไรได้อย่างที่เธอจำ

แต่ฉันกลับคิดว่า ถ้าหากมันนานเกินไปจนเราลืมไปแล้ว เราจะเรียกมันว่า ‘ความทรงจำ’ ได้อย่างไรในเมื่อเราไม่จำมันแล้ว

ฉันไม่คิดว่าแม่จะเชื่อว่าดอกกรรณิการ์คือดอกปาริชาตอย่างในตำนานจริงๆ และไม่คิดว่าแม่จะแค่ประดับดอกไม้นั่นเพื่อความสวยงามแล้วทำลืมๆมันไป

แน่นอนว่าเธอชอบตำนานเช่นเดียวกับฉัน แต่เธอก็ชอบการทดลองด้วย แม่ชอบทำอะไรเป็นปริศนาบ่อยๆ และปริศนานั้นก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ทุกๆครั้ง ถ้าให้ฉันคิด กลิ่นหอมนั่นอาจไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้จริงๆ หากแต่เป็นสารระเหยที่กระตุ้นสมอง ที่จะทำให้การสแกนสมองในวันพรุ่งนี้สำเร็จไปด้วยดี

ฉันไม่รู้ว่ามันดีกับฉันแค่ไหน แต่รู้เพียงแค่ฉันแปลกใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เธอกำลังทำ หากแต่เป็นสิ่งที่เธอกำลังคิด...เธอเห็นฉันเป็นสัตว์ทดลองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

ทันที่ที่ฉันเรียนออนไลน์เสร็จในช่วงเช้า แม่ก็พาฉันไปยังสถาบันวิจัยที่แม่ทำงานทันที ที่นั่นเป็นสถานที่ใหญ่โต มีหลายหน่วยงานตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน ฉันสแกนสมองที่ตึกด้านล่างของสถาบันด้วยการใส่หมวกครอบเหมือนนักบิน

อวกาศเพียงไม่กี่อึดใจ ผลการสแกนก็สามารถออนไลน์ส่งไปยังแพทย์ที่ดูแลฉันโดยตรง และแน่นอนฉันไม่มีสิทธิรู้ผลการตรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม่บอกว่าผลมันซับซ้อนเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจ เธอเพียงแต่บอกด้วยคำสั้นๆง่ายๆ ว่าดี ไม่ดี เพียงเท่านั้น

ฉันมักจะต้องไปรอแม่ประชุมอยู่เสมอ เพราะเธอไม่อยากให้ฉันคลาดสายตา การมากินนอนอยู่ที่ทำงานแม่จึงเป็นเรื่องปกติของฉัน สถาบันวิจัยของแม่ใหญ่โตพอที่จะกินพื้นที่ตึกทั้งตึก มีป้ายโครงการวิจัย ‘คะนึงนิจ’ ติดอยู่บนผนัง อักษรของมันวิจิตรบรรจงแทบจะใหญ่เกือบเท่าตัวของฉันเลยทีเดียว แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นโครงการวิจัยที่ใช้เงินมหาศาลแค่ไหน


ที่นี่มีห้องรับรองสุดสบายที่ฉันเข้าออกได้ตามใจชอบ และแน่นอนแม่ก็ชอบด้วยเพราะเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องทำงานของแม่นี่เอง ทุกคนที่นี่รู้จักฉัน และปฏิบัติกับฉันราวกับฉันเป็นเจ้าหญิง ฉันรู้จักกับเพื่อนของแม่แทบทุกคน อันที่จริงก็มีไม่ใช่คนบ้าง

เธอเป็นเอไอ ฉันสนิทกับเอไอที่เป็นเพื่อนแม่คนหนึ่งมาก เธอมีชื่อว่า ‘เคเรน’ ชื่อของเธอเป็นภาษาอังกฤษเพราะผู้พัฒนาโปรแกรมเป็นคนอเมริกา แต่เธอพูดภาษาไทยได้ชัดยิ่งกว่าครูภาษาไทยเสียอีก เธอใจดี คุยสนุก และที่สำคัญคือเธอมักจะรับฟังความเห็นของฉันเสมอๆ

ฉันเห็นเคเรนส่งยิ้มให้ฉันมาแต่ไกลทันทีที่ประตูอัตโนมัติหน้าตึกเปิดออก เธอตรงรี่เข้ามาสวมกอดฉันราวกับเราไม่ได้พบกันมานานทั้งๆเราแทบจะเจอกันทุกๆ 3วัน

“เดี๋ยวพวกเราจะมีประชุมน่ะ...เธออาจต้องรอนานหน่อยนะสุดสวย” เธอหยิกแก้มฉันอย่างเอ็นดู

“ลูกไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดก่อนแล้วกัน” แม่สั่งฉันอย่างเร่งรีบ แล้วหันไปคุยกับเพื่อนต่างชาติด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องประชุมที่ประตูเปิดรออยู่ เคเรนหันมายิ้มกับฉันอีกครั้งและเดินตามพวกเขาเข้าไป

ฉันเดินไปอีกฟากหนึ่งของตึกเพื่อจะไปเข้าห้องสมุดอย่างที่เคย ก่อนที่ฉันจะเลี้ยวไปยังมุมตึก หางตาก็เหลือบไปเห็นโถงทางเดินเล็กๆที่ฉันยังไม่เคยไป

วันนี้ฉันมาเช้ากว่าทุกๆวัน ถ้าจะลองเดินไปสำรวจรอบๆคงจะยังไม่มีใครทันสังเกต

ทางเดินเล็กๆนั้นเปิดไฟไว้เพียงไม่กี่ดวง ทำให้บรรยากาศแลดูมืดสลัว ฉันเดินเรื่อยๆมาจนสุดทางก็พบห้องหนึ่งที่ดูสะดุดตา ประตูบานใหญ่ ประดับด้วยภาพสลักหินทรายนูนต่ำเป็นภาพต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกลีบดอก 6กลีบ ฉันจ้องมองกิ่งก้านที่สลักเป็นเส้นพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต

“ปาริชาต เหรอ” ฉันคิดขึ้นได้ว่ามันเป็นต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนที่แม่เคยตั้งมันบนโต๊ะอาหาร จะต้องเกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยของแม่แน่ๆ มันคงไม่บังเอิญขนาดที่มันจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับความทรงจำบ่อยขนาดนี้…มันจะเกี่ยวข้องกับฉันหรือเปล่า?

ฉันเอื้อมมือไปแตะภาพสลักเบาๆ แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกลไกภายในห้องดังขึ้น แล้วประตูบานใหญ่ก็เปิดออก ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปข้างใน

ภายในห้องเต็มไปด้วยตู้กระจกใสเรียงเป็นแถวอยู่เต็มห้อง ภายในตู้นั้นมีกล่องสีเงิน ที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยท่อสีดำสนิทพันกันระโยงระยาง เครื่องปรับอากาศภายในห้องเย็น และเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง

ฉันค่อยๆเดินลึกเข้าไปยิ่งขึ้น มองเห็นกล่องสีเงินกล่องหนึ่งที่ใหญ่กว่าทุกอัน ติดตัวเลขมากมายบริเวณด้านข้างและด้านบน ฉันไม่เข้าใจตัวเลขเหล่านั้นเลย แต่สะดุดตาอักษรเล็กๆที่ถ้าไม่ทันได้สังเกตก็อาจไม่เห็


‘คะนึงนิตย์ 09!’ ให้ตายเถอะ…ไม่อยากจะเชื่อเลย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยนี่ด้วยนะหรือสิ่งนี้น่าจะเป็นเอไอที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาระบบ ซึ่งรุ่นนี้ก็น่าจะเป็นรุ่นที่ 9 แล้ว!
“แกร๊ก!” เสียงเหมือนเหล็กกระทบกันดังขึ้น ฉันหันกลับไปหาที่มาของเสียง แต่กลับพบว่ามันเป็นเสียงที่มาจากทุกทิศทางในห้อง!

“เธอเป็นใคร!!” ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังพูดกับฉัน เสียงของเธอฟังดูคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามคิดว่าฉันเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน

“เธอ-เป็น-ใครทำไมถึงหน้าตาเหมือนฉัน!”
ทันใดนั้นเองฉันก็แทบสติแตก เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า เสียงที่ฉันได้ยินนั้น คือเสียงของตัวฉันเอง! หากแต่ไม่ได้ออกมาจากปากของฉัน…มันออกมาจากล่อง ‘คะนึงนิตย์ 09’!

ทันทีที่ฉันตั้งสติได้ ฉันรีบวิ่งออกมาจากห้องนั้นโดยไม่รอฟังว่าเสียงนั้นจะพูดอะไรต่อไป ฉันรอให้ประตูห้องปิดสนิท แน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้ว่าฉันแอบมาที่นี่ ก่อนวิ่งตรงไปยังห้องพักของเคเรน ทุกครั้งที่ฉันมีเรื่องไม่สบายใจ ฉันมักจะไปหาเธอ โดยปกติแล้วห้องพักนักวิจัยจะไม่อนุญาตให้ใคร

สามารถเข้าได้สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เคเรนได้ให้บัตรผ่านประตูกับฉันไว้ เธอรู้ดีว่าฉันจะไม่ก่อปัญหาให้เธอ…แต่ครั้งนี้ฉันคิดว่าฉันเองก็ไม่แน่ใจ ฉันมีลางสังหรณ์ว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยนี้!

แน่นอนว่าเคเรนยังไม่ออกจากการประชุม ฉันเข้ามานั่งสงบสติอารมณ์ และเรียบเรียงความคิดอยู่พักใหญ่ แล้วก็คิดได้ว่า ถ้าฉันมีความเกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้จริง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ฉันจะสืบหาความจริงจากภายในนี้…

ใช่แล้ว จากคอมพิวเตอร์ของเคเรนนี่ล่ะ ฉันโบกมือเพื่อเปิดคอมพิวเตอร์และสัมผัสกับแป้นพิมพ์โฮโลแกรมเพื่อค้นหาข้อมูล ฉันเลือกจะค้นหาชื่อของตัวเองเป็นอันดับแรก

แม้ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีข้อมูลอะไรมากมายเกี่ยวกับตัวฉัน แต่ปรากฏว่าผลของมันกลับตรงกันข้าม! ข้อมูลของฉันมีอยู่ถึงหลาย10 หน้ากระดาษ โดยภาพถ่ายที่ขึ้นบนเจอนั้นแม้จะเป็นรูปของฉัน แต่ก็ไม่ได้ดูมีความใกล้เคียงกับตัวฉันในปัจจุบันเลย ฉันรีบไล่อ่านข้อมูลเหล่านั้นด้วยความสงสัย

ทันทีที่ฉันได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นจบลง ขาของฉันก็แทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ภาพในหัวตีกันตัดภาพสลับไปสลับมา ชีวิตวัยเด็กของฉัน การสแกนสมอง แม่ เคเรน อ้อมกอดของพวกเธอ โครงการวิจัยที่แม่ทำมาทั้งชีวิต และเอไอที่ฉันเพิ่งจะได้เจอในห้องที่ประตูสวยๆนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับฉัน

ไม่สิความจริงแล้ว โครงการวิจัยสุดยิ่งใหญ่ที่ใช้ทุนมหาศาลนี้เป็นการวิจัยชีวิตของฉัน…มีฉันเป็นสิ่งทดลอง


“เธอมาทำอะไรที่นี่!”
เสียงเคเรนดังขึ้นจากข้างหลังของฉันด้วยความตกใจ ฉันกำลังทรุดนั่งอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาของฉันไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงได้

เธอจ้องมองโฮโลแกรมที่กำลังฉายภาพข้อมูลเกี่ยวกับตัวฉัน ซึ่งฉันก็รู้ดีว่าเคเรน และทุกๆคนรู้เรื่องราวพวกนี้ดีไปกว่าฉันเสียอีก เธอได้แต่ถอนหายใจ ก้มตัวลงมาช่วยพยุงฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้ และกอดฉันไว้แน่นในอ้อมกอดของเธอ


ความจริงก็คือ…ฉันตายไปนานแล้ว!
ไม่สิ ไม่ใช่ฉัน ฉันควรจะเริ่มต้นจากอะไรดีนะ…

ก่อนหน้านี้หลายสิบปี แม่ของฉันมีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อของเธอคือ “พลอย” ชื่อเดียวกับฉัน หน้าตาเหมือนฉันทุกอย่าง แม่ใช้ชีวิตอยู่กับพลอยแค่สองคน เนื่องจากเธอเลิกกับสามีไปตั้งแต่พลอยยังเล็ก

แต่แล้ว เธอก็ตายด้วยอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด แม่ทำใจไม่ได้ จึงเข้าร่วมงานวิจัยนี้ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่วิจัยการถ่ายโอนความทรงจำ แต่รวมไปถึงเป้าหมายการทำให้คนตายได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!..นั่นคือจุดเริ่มต้นของโครงการ “คะนึงนิตย์”


อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ไม่สามารถเก็บศพของพลอยเพื่อใช้ในการศึกษาได้ แม่จึงเลือกเก็บเฉพาะส่วนของสมองซึ่งเป็นส่วนของความทรงจำของเธอ และค้นคว้าหาวิธีถ่ายโอนความทรงจำเหล่านั้นเข้าสู่ระบบประมวลผลในรูปแบบเฉพาะของเอไอ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการพัฒนามาจนถึง 9 รุ่น ซึ่งรุ่นล่าสุดนี้คือ ‘คะนึงนิตย์ 09’ เป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุดและเหมาะสมแก่การถ่ายโอนลงในสมองมนุษย์อีกครั้ง


ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะพัฒนาเอไอ คะนึงนิตย์จนถึงรุ่นที่ 9 ทีมวิจัยคาดการไว้ก่อนแล้วว่าจะถ่ายโอนความทรงจำเก่าสู่มนุษย์ในร่างใหม่ที่ลักษณะพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ ดังนั้น การที่จะมนุษย์คุณสมบัติเช่นนั้น มีหนทางเดียวคือ ‘โคลนนิ่ง’…และนั่นคือฉันเอง!

เพื่อการควบคุมปัจจัยต่างๆของการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนโคลนนิ่ง ทีมวิจัยได้รับการร่วมมือจากอีกโครงการหนึ่งของต่างประเทศคือ ‘การฝังตัวอ่อนในมดลูกเทียมของเอไอ’ ซึ่งเอไอผู้โชคดีคนนั้นที่ถูกเลือกคือ เคเรน!....ใช่แล้ว ไม่ต้องเดาให้ยาก เคเรนคือคนที่คลอดฉันออกมา...แต่คนที่ทำหน้าที่เลี้ยงฉัน ก็คือคนที่ฉันเรียกเธอว่าแม

ตลอดทางที่ฉันนั่งรถกลับบ้านมากับแม่ ฉันถามตัวเองวนไปวนมาว่า หลังจากนี้ฉันจะสามารถมองเธอได้อย่างที่เคยมองหรือเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำให้ฉันเพราะแม่รักที่ฉันเป็นฉัน หรือฉันเป็นสิ่งทดลองของแม่กันแน่

ฉันตัดสินใจจะไปคุยกับแม่ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นคุยจากอะไร ฉันกับแม่ไม่ค่อยจะคุยกันในเรื่องหนักๆสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อจะถึงตอนนั้น แม่จะตัดบทก่อนทุกที และฉันก็จะต้องกลายเป็นฝ่ายยินยอมเสมอๆ ฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งติดมือลงไปด้วยมันคือเรื่อง รามายณะ

“ก๊อกๆ” ฉันเคาะประตูส่งสัญญาณว่าฉันกำลังจะเข้าห้องเธอแล้ว ประตูเปิดออกอัตโนมัติ แม่ยังคงนั่งทำงานอยู่เช่นเคย…งานที่มีตัวฉันเป็นสิ่งทดลอง

ฉันวางหนังสือรามายณะตรงหน้าแม่ ฉันมั่นใจว่าแม่ต้องเคยอ่านแน่นอน เพราะเธอเป็นหนอนหนังสือยิ่งกว่าฉัน

“แม่คะ…แม่คิดยังไงกับพระราม ที่เป็นร่างอวตารของพระนารายณ์” ฉันพยายามทำเสียงให้นิ่งกว่าปกติ
.
“เจ๋ง และเท่มาก พระรามเป็นเหมือนเทพที่เดินดิน เป็นพระเอกที่สมบูรณ์แบบที่สุด” แม่ตอบฉันแต่ตายังคงจ้องอยู่บนโฮโลแกรมที่แสดงตัวเลขขยุกขยิกเต็มไปหมด ฉันพยายามจะแย้งแม่ ดึงเธอให้สนใจ

“แต่พระรามเป็นแค่มนุษย์นะคะ พระนารายณ์แค่ส่งบางส่วนของพระองค์มาเกิด พวกเขาเป็นคนละคนกัน” ได้ผล แม่หันมามองฉันแล้ววางปากกาที่กำลังจะจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดลง

“มันไม่ต่างกันหรอกพลอย เทพ ยังไงก็คือเทพ ต่อให้แบ่งภาคมาก็ยังคงเป็นเทพเหมือนเดิม”

“แม่ไม่คิดว่าพระรามจะอยากมีชีวิตเป็นของเขาเองเหรอคะ พระรามต้องแบกรับหน้าที่และความหวังมากมาย เพียงเพราะเขาเป็นคนที่เกิดมาจากส่วนหนึ่งของเทพ”

เสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ และเริ่มรู้สึกได้ถึงขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว

“แต่นั่นคือหน้าที่ของพระรามไงพลอย พระนารายณ์สร้างเขาขึ้นเพื่อให้ทำภารกิจบนโลกมนุษย์ให้สำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วหน้าที่ก็จบลง ก็เท่านั้นเอง”

ฉันรู้ว่าแม่เริ่มจ้องมองฉันด้วยความสงสัยแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ถึงตอนนี้หูของฉันเริ่มจะอื้อแล้ว ฉันแทบไม่ได้ยินว่าแม่คุยอะไรในโทรศัพท์ จับใจความได้เพียงว่า เธอเรียกชื่อเคเรน และเริ่มทำสีหน้าวิตกกังวลเมื่อหันมามองหน้าฉัน เธอเอื้อมมือหยิบหนังสือรามายณะแล้วยื่นมันมาที่ฉัน

ถ้าให้เดาพระรามก็คงไม่เคยคิดฝันว่า การเกิดมาของพระองค์จะต้องกลายเป็นอวตารของเทพที่จะต้องแบกรับหน้าที่ ที่ไม่มีสิทธิแม้แต่จะเลือกให้ทำสิ่งที่ผิด

“พลอย…อีกสามวันลูกต้องเข้ารับการผ่าตัด…มันถึงเวลาสมควรแล้ว” แม่พยายามพูดเว้นช่วงให้ฉันได้ยินชัดเจน เคเรนคงบอกแม่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นวันนี้ แต่ฉันก็ยังคงจะอยากคุยกับเธอตรงๆอยู่ดี

“แม่คะ หนูรู้ความจริงหมดแล้ว” ฉันหยิบชายเสื้อขึ้นมาบิดมันไปมา แล้วตัดสินใจพูดต่อ

“หนูไม่ใช่ลูกของแม่ หนูเป็นแค่ โคลนนิ่ง ที่รอวันถ่ายโอนความทรงจำลูกสาวของแม่กลับคืนมา” น้ำตาของฉันเริ่มไหลอีกแล้ว และฉันก็เห็นตาของแม่มีน้ำตาคลออยู่เช่นกัน

“อย่าคิดอย่างนั้นสิพลอย ลูกคือลูกของแม่เสมอ ไม่ว่าจะยังไง…ลูกแค่จำมันไม่ได้ แล้วอีกไม่นานลูกจะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง” นั่นไง! แม่ใช้มุกเดิมๆ ความจำที่จำไม่ได้?

“พรุ่งนี้จะมีเอกสารที่ลูกจำเป็นต้องเซ็นก่อนเข้าห้องผ่าตัด ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ทุกอย่างจะดีเอง” แม่เริ่มจะหยิบปากกาขึ้นมาทำงานต่ออีกแล้ว

“แต่แม่คะ” ฉันรีบแย้ง

“ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเลือกอะไร!” แม่เริ่มขึ้นเสียง เป็นสัญญาณว่าแม่กำลังจะตัดบท ปิดบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างเรา ให้ฉันเป็นผู้ยินยอมเสมอไป

“วันหนึ่งลูกจะรู้เองว่าความรักของแม่ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน…”

ฉันเดินหันหลังออกมาจากห้องโดยไม่ทันได้ฟังประโยคต่อไป ‘ไม่หรอกค่ะแม่ หนูไม่มีทางรู้ เพราะหนูไม่มีวันได้เป็นแม่!’ ประตูอัตโนมัติปิดลง ฉันได้แต่ทรุดลงนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ตรงนั้นคนเดียว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉันคิด ทันทีที่วัยของฉันพร้อม สมองของฉันพร้อม และระบบข้อมูลของเอไอ คะนึงนิตย์ 09 พร้อม ทุกคนที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ก็แทบจะรอไม่ไหวกับการทดลองอันท้าทายของพวกเขา

เพื่อนๆของแม่หลายคนต่างมาแสดงความยินดีที่ฉันกำลังจะกลายเป็นคนดัง ฉันจะกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ถ่ายโอนความทรงจำได้สำเร็จ พวกเขาบอกว่าฉันจะได้กลับมามีชีวิตที่ดีอย่างที่เคยเป็นมา…

มีชีวิตใหม่? ฉันแทบไม่รู้ว่าชีวิตปัจจุบันของฉันนี่มันบัดซบยังไงถึงจะต้องเปลี่ยนไปใช้ ‘ชีวิตใหม่’

กระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยข้อความ วางอยู่ตรงหน้าของฉัน สมัยนี้เราอาจไม่นิยมเอกสารที่ทำเป็นแผ่นกระดาษแล้วก็จริง แต่เอกสารสำคัญบางอย่างก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องเป็นแผ่นกระดาษที่จับต้องได้อยู่ดี

ฉันนั่งมองมือที่เป็นอลูมิเนียมอย่างดีของเคเรนที่กำลังประสานกันแน่นอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามอย่างใจลอย เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ถ้าไม่มีใครบอกว่าเธอเป็นเอไอ ฉันคงเชื่อจริงๆว่าเธอเป็นมนุษย์

“การถ่ายโอนความทรงจำที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการวิจัย จะมีนักข่าวมาทำข่าวจำนวนมาก เพราะถ้าการทดลองนี้สำเร็จข่าวนี้จะเป็นข่าวดังทั่วโลก แต่ก่อนอื่นที่จะไปถึงเรื่องพวกนั้น ขั้นแรกเราต้องรู้ก่อนว่าพลอยมีความเห็นอย่างไรกับการทดลองนี้

เธอเห็นด้วยที่จะถ่ายโอนความทรงจำของ ‘คะนึงนิตย์ 09’ เข้ามาในสมองของเธอหรือเปล่า และถ้าไม่ เธอก็มีสิทธิเต็มที่ ที่จะปฏิเสธ”

เคเรนจับมือฉันและวางปากกาบนโต๊ะ ฉันคิดว่าเธอรู้ดีว่าฉันจะตัดสินใจอย่างไร เธอหลับตาและเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ฉันพยายามจดจำภาพสุดท้ายที่ฉันได้เห็นเคเรนไว้ จดจำภาพเอไอคนเคยกอดฉัน รับฟังทุกความเห็นของฉัน เอไอคนที่เคยอุ้มท้อง และคลอดฉันออกมา

ฉันหยิบปากกาขึ้น แล้วเซ็นมันในช่องว่างสำหรับชื่อของฉัน ‘ยินยอม’ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของฉันหยดลงบนกระดาษ บริเวณที่ตวัดหางตัวอักษร ย. ยักษ์ ในลายเซ็นของฉัน น้ำตาของฉันทำให้หมึกเปื้อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่จะใส่ใจพอจะมองเห็นมากไปกว่าข้อความ ‘ยินยอม’ ที่ตัวหนา และใหญ่กว่านั้นหลายเท่า


ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ในวันพรุ่งนี้ ฉันจะต้องถูกกักตัวในห้องปลอดเชื้อ จนกว่าการผ่าตัดและทดสอบการทำงานของสมองจะเสร็จสิ้น ในวันพรุ่งนี้ฉันจะได้เป็นสิ่งทดลองอย่างเต็มรูปแบบ ฉันพยายามจดจำภาพสุดท้ายของทุกคนที่ฉันเห็นเป็นความทรงจำเท่าที่ฉันมีในตอนที่ฉัน ยังคงเป็นฉัน มันอาจดูโง่ที่ฉันมีโอกาสปฏิเสธในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ แต่กลับไม่ทำ

ฉันตอบไม่ได้ถึงเหตุผลของมัน บางทีฉันอาจจะแค่อยากรักษาความรักที่เคยได้รับเสมอมา ฉันมองลึกลงไปนัยน์ตาของแม่ รู้ว่าเธอไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับความผิดหวัง หากว่าฉันจะตอบว่า ‘ไม่’ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้คือเซ็นมันลงไปเท่านั้นเอง

การอยู่คนเดียวทำให้ฉันได้ทบทวนหลายอย่าง มีคำถามมากมายที่ไม่มีคำตอบพรั่งพรูออกมาจากความคิดของฉันอย่างไม่จบสิ้น…สุดท้ายแล้ว ความรักขึ้นอยู่กับเหตุผลของอะไรกันแน่ แม่รักฉันเพราะว่าฉันเคยเป็นลูกของเธอ? ไม่สิ แค่ส่วนหนึ่งของฉันเคยเป็น

…แม่รักลูกของเธอเพราะอะไรกัน เพราะความทรงจำที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเธอ? ที่แม่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเก็บมันไว้ โดยไม่สนใจว่านั่นจะเป็นการหลอกใช้เอไอหรือเปล่า และไม่สนใจว่านั่นจะทำร้ายฉันหรือไม่

หรือแม่รักลูกของเธอเพราะรูปร่างหน้าตาแบบนี้ รหัสพันธุกรรมแบบนี้ คนที่เคยเป็นเหมือนลูกสาวของเธอ? หรือแม่รักลูกเพียงเพราะแม่อุ้มท้องและคลอดเธอออกมา? ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ใช่ เพราะว่าเคเรนคลอดฉันออกมา! และฉันก็เป็นแค่โคลนนิ่งร่างกายของลูกสาวที่ตายไปแล้วของเธอ!


คนที่ฉันสมควรจะรักที่สุดควรจะเป็นใครกันล่ะ? ถ้าหากเคเรนคลอดฉันออกมาด้วยกระบวนการสร้างมดลูกเทียมอันสุดเลิศล้ำ เพราะฉะนั้นฉันควรรักเคเรนไม่ใช่แค่เพราะเธอดีกับฉันแต่เพราะเธอคือคนที่คลอดฉันออกมา? หรือฉันควรจะรักแม่เพราะแม่เป็นคนเลี้ยงดูฉัน ทำให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบาย?

ทั้งๆที่...ทุกคนที่ฉันควรรักต่างรู้เห็นเป็นใจกับโครงการวิจัยบ้าๆนี้เพื่อจะใส่ความคิดของใครก็ไม่รู้เข้ามาในหัวของฉัน เพื่อให้กลายเป็นคนในแบบที่พวกเขาต้องการ โดยอ้างถึงความถูกต้องของการทดลองอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คนตายคืนชีพ ซึ่งความจริงคือไม่มีใครยอมรับว่ายัยนั่นตายไปตั้งนานแล้ว! ทั้งๆ...ที่ฉันไม่ได้เลือกสิ่งพวกนี้เลย ฉันไม่เคยร้องขอให้พวกเขาสร้างชีวิตฉันขึ้นมา


เพียงเพราะพวกเขามีส่วนทำให้ฉันได้เกิดขึ้นมาบน ‘โลกอันแสนน่าอยู่’ นี้ ฉันควรต้องรักพวกเขา? ฉันมีสิทธิจะรักตัวของฉันเองไหม? หรือไม่สิ ฉันมีสิทธิจะรักใน ‘ตัวตน’ ของฉันหรือเปล่า? หรือฉันควรต้องตอบแทนความรักของผู้มีพระคุณทั้งหลายในชีวิตของฉันด้วยการให้ ‘ ทั้งชีวิต’ กับพวกเขา ทำอะไรกับมันก็ได้...นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับความรักในโลกแบบนี้หรือเปล่า?..

หรือบางทีความรักอาจเป็นแค่สิ่งที่แปรผันตามอารมณ์ความรู้สึกแค่ชั่วครั้งคราวที่ต้องการสิ่งตอบแทน ซึ่งในความเป็นจริงทุกอย่างอาจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์โดยที่เราไม่เคยจะยอมรับมันว่านั่นคือผลประโยชน์?...บางทีเราอาจต้องยอมรับว่าโลกนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ...บางทีโลกนี้อาจไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี
...แม้แต่ความรักของแม่ก็ตาม


ฉันเพิ่งจะได้สังเกตความงดงามของการเริ่มต้นเช้าวันใหม่คือเสียงนกตัวน้อยๆพากันร้องเพลงโต้ตอบกันไปมา วันนี้คือวันสุดท้ายของการมีตัวตนอยู่ของฉัน

ชีวิตของฉันก็อาจมีเพียงเท่านี้ เกิดมาเพื่อคนอื่น ความจริงแล้วฉันก็อาจเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่ ได้ ‘มี’ ชีวิตคล้ายมนุษย์ที่สุด แต่ก็ไม่ได้ ‘ใช้’ มัน ฉันไม่ได้ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ซ่อมหนังสือที่มีหน้าที่เดียวแค่ลบรอยขีดเขียนบนหนังสือ และซ่อมมัน...

ไม่เคยแม้แต่ได้สิทธิที่จะซ่อมแซมตัวเอง หรือทำนอกเหนือจากโปรแกรมที่จะด่าใครต่อใครได้เลย หลังจากนี้ฉันจะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือความรู้สึกเดิมที่ฉันเคยมี

อาจมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมแม้จะเป็นชีวิตที่เหมือนถูกตั้งโปรแกรมไว้ก็ตาม ราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ฉันคงจะรักทุกคนอย่างที่เคยเป็น...แม่จะได้ลูกสาวคนเดิมของแม่กลับคืนมา!

ฉันนอนรอเครื่องมือแพทย์ที่กำลังทำงาน รู้สึกถึงความเย็นของโลหะที่กำลังสัมผัสกับต้นคอ เข็มขนาดเล็กกำลังเจาะผ่านท้ายทอยของฉัน

ฉันหลับตาลง มองผ่านความมืดมิดที่มอบอ้อมกอดอันอบอุ่น ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท แล้วฉันก็ได้ยินความเงียบกำลังเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอันแสนหวาน อย่างที่ฉันคิดว่าเคยได้ยินมันมาแล้ว...
.
“...พระรามก้าวพระบาทดำเนินลงสู่แม่น้ำสรายุ สายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์สัมผัสพระวรกายกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอโยธยา ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำที่กำลังหมุนวน


พระนารายณ์ได้กลับคืนสู่ไวกูณฐ์อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ที่ซึ่งมีเทวีลักษมีผู้เคยเป็นสีดา ชายาอันเป็นที่รัก จบสิ้นแล้วยุคสมัยของพระราม

…จบสิ้นแล้ว ชีวิตในร่างอวตารของพระองค์


The End

ปล. เรื่องสั้นเรื่องนี้เราเขียนส่งประกวดแต่ว่าไม่เข้ารอบ เลยอยากเอามาแชร์ให้อ่านกันสนุกๆ ดีกว่าเก็บไว้คนเดียว หวังว่าจะชอบกันนะ

***การเขียนอะไรสักอย่างนึง ต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะมาก ฝากติดตามด้วยน้าาา เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อ...ร่วมพูดคุย และกดไลค์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ในเพจ
https://www.facebook.com/PanchaliWriter



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม