หลังจากยุคมืด สงครามโลกครั้งที่ 6 ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ มวลมนุษยชาติแทบจะถึงจุดสิ้นสุด นักวิทยาศาสตร์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
ได้มีการคิดค้น และทดลองวิธีการมากมายที่จะทำให้มนุษย์เพิ่มจำนวนได้รวดเร็วที่สุด สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกได้นานที่สุด มีความสะดวกสบาย และมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยนำงานวิจัยที่เคยได้มีการศึกษาในสมัยก่อนยุคมืดนำมาประยุกต์และปรับใช้ให้ได้ประสิทธิภาพ…
หากแต่ การทดลองก็คือการทดลอง ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบ หรือเป็นไปตามทฤษฎีที่คิดทั้งหมด แม้ว่าจะมีการทำนายว่ามนุษย์อาจสามารถเป็นอมตะได้ตั้งแต่เกือบร้อยปีที่แล้ว แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถมีชีวิตเป็นอมตะเลยแม้แต่คนเดียว
ในยุคสมัยนี้มนุษย์เรามีชีวิตที่สุขสบายมาก จนคนในร้อยปีที่แล้วอาจไม่สามารถจินตนาการถึงได้ เราแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราคุ้นชื่อว่า ‘เอไอ’ (AI: Artificial Intelligence) ถูกนำมาใช้ในงานแทบทุกๆงาน อาชีพที่มนุษย์ได้ทำจึงเป็นเฉพาะงานที่ต้องอาศัยทักษะที่เอไอยังไม่มี หรือไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
ที่แห่งนี้ต้นไม้สามารถงอกและตายได้จากการกระตุ้นด้วยเสียง แสง น้ำ และความชื้นที่ควบคุมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่นี่ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นการแตกกึ่งที่แท้จริงของต้นไม้ นอกเสียจากการตัดแต่งทรงพุ่มเป็นรูปทรงเก๋ไก๋ตามที่ต้องการ
โดยคุณคนสวนที่เป็นเอไอมากความสามารถ บรรดาสัตว์ที่เคยถูกเลี้ยงเพื่อนำเนื้อมาประกอบอาหารอย่าง หมู ไก่ หรือวัว ไม่จำเป็นต้องถูกฆ่าอีกต่อไป พวกมันสามารถเติบโตและมีชีวิตได้เท่าที่มันต้องการ เพราะเราสามารถผลิตเนื้อสัตว์ต่างๆได้เองโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จากชิ้นเนื้อเยื่อเล็กๆผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เนื้อเยื่อนั้นแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์มีลักษณะดีและเหมาะสมต่อการบริโภค
ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นในทุกๆทาง ห่างไกลจากชีวิตในแบบหลายร้อยปีก่อนตามที่ฉันเคยได้อ่านเรื่องราวรันทดพวกนั้นจากในหนังสือ…แต่เปล่าเลย แม้บางคนจะพยายามหาวิธีให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
.นขณะเดียวกันก็ยังคงมีคนที่อยากจะทำลายมันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของตนเอง หรือผู้อื่น…บางที ต่อให้โลกในมุมมองของเราจะดูสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ความไม่สมบูรณ์แบบจะยังคงตามติดไปเช่นเดียวกับเงาตามตัว!
‘…ใครบางคนได้เขียนคำว่า ‘เ-ดแม่ง’ไว้บนผนัง มันทำให้ผมแทบคลั่งตาย… ถึงคุณจะมีเวลาสักล้านปี คุณก็ไม่อาจลบแม้ครึ่งหนึ่งของสัญลักษณ์ ‘เ-ดแม่ง’ ที่มีอยู่บนโลก เป็นไปไม่ได้เลย…’
ฉันปิดหนังสือปกแข็งเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งปกของมันเขียนไว้ว่า The Catcher in the Rye วรรณกรรมอเมริกันที่โด่งดังเมื่อนานมาแล้ว ฉันยืมมาจากห้องสมุดที่สถาบันวิจัยที่แม่ทำงานอยู่ การอ่านหนังสือเป็นเล่มอาจไม่นิยมแล้วในยุคสมัยนี้ แต่มันยังคงมีอยู่ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการอนุรักษ์
ในขณะที่ฉันกำลังจะปิดหนังสือลง ฉันเผลอทำนาฬิกาข้อมือไปเกี่ยวกับกระดาษสีเหลืองเปื่อยยุ่ยหน้าสุดท้ายขาด! ทันทีที่กระดาษแยกออกจากกัน บางสิ่งค่อยๆส่งเสียงแหลมเบาๆดังออกมาจากสันหนังสือ
หุ่นยนต์ตัวจิ๋วหน้าตาคล้ายแมงมุม ค่อยๆแทรกตัวออกมา มันเดินไปยังจุดที่กระดาษขาด แล้วมันก็เริ่มพ่นเยื่อกระดาษที่ถักทอหน้าส่วนที่ขาดหายไป ฉันปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมัน ข้อดีของหุ่นยนต์คือ มันมักไม่ได้ถูกตั้งโปรแกรมให้ด่าใครได้
มันมีหน้าที่ชัดเจนหน้าที่เดียว คือซ่อมแซมให้หนังสือกลับสู่สภาพเดิม ต่อให้คุณจะขีดฆ่า หรือเขียนด่าแม่ใครในหนังสือนั้น ตื่นเช้ามาวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างในหนังสือก็จะกลับสู่สภาพเดิม ราวกับไม่เคยมีใครเปิดอ่านมัน…
ใครจะไปรู้ว่าภายในเวลาไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ต่อให้มีใครทั่วโลกเขียนคำว่า ‘เ-ดแม่ง’ ทิ้งไว้รายทาง คุณก็จะไม่มีทางได้เห็นมัน เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง!
“พลอย!”
แม่ตะโกนเรียกฉันมาจากห้องนั่งเล่นข้างล่าง ฉันคิดว่าน่าจะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว พรุ่งนี้ถึงกำหนดวันที่จะต้องไปสแกนสมองอีกแล้ว ซึ่งแม่ก็มักจะเตรียมอาหารสุขภาพให้ฉันหนักกว่าในทุกๆวัน
“เดี๋ยวลงไปค่ะแม่”
ฉันขานรับแม่ ก่อนที่จะรีบเคลียร์ของบนโต๊ะให้หมด ฉันไม่ชอบตั้งของทิ้งไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนิสัยหวงแหนความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ ฉันคิดว่าไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ใดๆก็ควรจะต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ฉันเคยพยายามอธิบายเรื่องพวกนี้เสมอแต่แม่ก็มักจะมองเป็นเรื่องความเอาแต่ใจของฉันเสมอ
แม่บอกกับฉันว่า ฉันมีปัญหาด้านสมองมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้ฉันอายุใกล้จะบรรลุนิติภาวะอีกไม่กี่ปี ก็ยังคงต้องสแกนสมองอยู่ทุกๆสัปดาห์
อาชีพของแม่เป็นอาชีพยอดฮิตของคนในยุคนี้ ซึ่งก็คือ ‘นักวิจัย’ นั่นเอง วันๆก็ต้องทำงานอยู่ภายในห้องแล็บกับลุงป้าแก่ๆที่สมัยหนุ่มสาวคงเรียนหนักกันน่าดู และบรรดาเอไอวัยกลางคนที่ถูกออกแบบมาให้ดูมีความเป็นมนุษย์มากๆ หากแต่ก็ถูกจำกัดหน้าที่แค่เพียงทำตามคำสั่งเสียส่วนใหญ่
อาจเป็นเพราะเคยมียุคหนึ่งมนุษย์เกิดความหวาดระแวงความสามารถอันล้ำเลิศของเอไอ เกรงว่าจะเป็นการก่อความเสี่ยงต่อความเป็นไปของมวลมนุษย์ชาติอีกครั้ง ในยุคหลังจึงมีการจำกัดสิทธิ หน้าที่และความคิดของเอไออย่างชัดเจน
โครงการวิจัยยักษ์ใหญ่ที่แม่ทำมาทั้งชีวิตของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นเหตุให้เธอต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์แปรปรวน ยามที่ทำงานดึกดื่นค่ำคืนเสมอๆ
.
นั่นคือการวิจัยการถ่ายโอนความทรงจำของมนุษย์ มีชื่อว่าโครงการ “คะนึงนิตย์” ซึ่งศัพท์คำนี้น่าจะเป็นคำโบราณมากแล้วหมายถึง การที่คิดถึงใครอยู่เสมอๆ...
ฟังดูมันก็ลึกซึ้งดีอยู่ พอๆกับความลึกลับซับซ้อนของการวิจัยนี้ ที่ทุกอย่างดูปกปิดเป็นความลับ และมีหลายหน่วยงานอยู่เบื้องหลังโครงการนี้ หากแต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเอง อาจเป็นการรอคอยเวลาอะไรบางอย่างซึ้งฉันเองก็ไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งนั้น
โครงการนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการทดลองเล็กๆในการถ่ายโอนความทรงจำของทากทะเล จากการปลูกถ่าย RNA แต่สำหรับมนุษย์เรื่องของ ‘สมอง’และ‘จิตใจ’ มีรายละเอียดมากกว่านั้น จึงยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่รอคอยให้นักวิทยาศาสตร์ หาคำตอบได้อย่างไม่จบสิ้น
กลิ่นหอมละมุนของอะไรบางอย่างลอยตามลมมา มันเป็นกลิ่นที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ฉันปิดโคมไฟที่มุมโต๊ะเพียงแค่ดีดนิ้วเบาๆ ห้องทั้งห้องมืดลง มีเพียงแสงจากไฟนอกบ้านที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้อง ฉันเห็นเงาของตัวเองยืดยาวออกไป
“พลอย แม่รอนานแล้วนะลูก” แม่เริ่มตะโกนเรียกฉันอีกครั้ง
“ค่ะ แม่”
ฉันรีบวิ่งลงไปข้างล่างก่อนที่แม่จะอารมณ์เสีย แม่เป็นคนชอบออกคำสั่ง และเมื่อไหร่ที่ฉันทำเหมือนจะไม่ทำตาม ทุกอย่างก็จะดูเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงขึ้นมาเลย
ทันที่ที่ฉันลงมาถึงชั้นล่าง แม่เตรียมกับข้าวไว้พร้อมบนโต๊ะ วันนี้แม่ทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แม่บอกว่ามันคือของโปรดของฉัน แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจ และยังมีผลไม้หลายอย่างที่แม่มักจะชอบให้ฉันทาน แม้ว่าฉันจะเคยบอกบ่อยๆว่าฉันไม่ชอบมันเลย
บนโต๊ะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน มันมีกลิ่นหอมละมุนที่ฉันคุ้นเคยนั่นเอง มันเป็นดอกไม้สีขาวนวล มี6กลีบ และกลางดอกเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ฉันเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาจากโถอย่างเบามือ
“ดอกกรรณิการ์ไงลูก เรียกอีกอย่างว่า ปาริชาต มันมีตำนานน่าสนใจด้วยนะ” แม่พูดไปพลางขณะกำลังจัดแจงของบนโต๊ะอาหาร
“ปาริชาต เหรอคะ ชื่อเพราะจัง ตำนานอะไรคะแม่” ฉันชอบเรื่องตำนานและปรำปราเอามากๆ เพราะมันมักจะสอดแทรกความคิด ความเชื่อของคนสมัยนั้นเสมอ
“กินก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟัง”
ฉันคิดไว้แล้วว่าแม่คงยังไม่เล่าอะไรตอนนี้ แม่มักจะชอบทำอะไรเป็นอย่างๆ และท้ายที่สุดแม่ก็มักจะลืมว่าแม่เคยสัญญาอะไรไว้เสมอ... ฉันลากเก้าอี้แล้วนั่งลงก่อนจะหยิบช้อนและส้อมที่วางอยู่เบื้องหน้า
“น่ากินจังค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”
ฉันหันไปคุยกับแม่ก่อนจะตักน้ำซุปเข้าปาก ทันใดนั้นก็มีผงสีแดงจำนวนหนึ่งโรยลงบนก๋วยเตี๋ยวของฉัน
“ใส่พริกป่นซะหน่อย” แม่ตักพริกป่นจากกระปุกใส่ชามก๋วยเตี๋ยวของฉัน โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยถาม
“ลูกชอบทานเผ็ดๆ นี่นา พริกจะทำให้ยิ่งเจริญอาหารด้วยนะ รับรองอร่อยมากๆ”
แม่ไม่ได้เงยหน้ามองฉัน เธอเริ่มต้นทานก๋วยเตี๋ยวในชามของเธออย่างอารมณ์ดี เพราะคิดว่านั่นคือรสชาติที่ดีที่สุดสำหรับฉัน
แม่มักจะทำเหมือนรู้ว่าฉันชอบอะไรอยู่เสมอ และหากว่าฉันปฏิเสธ เธอก็จะทำทีว่าฉันแค่จำไม่ได้...ว่าฉันเคยชอบ!...ความชอบ เป็นสิ่งที่คนเราจะสามารถลืมกันได้ง่ายๆเลยหรืออย่างไร?
‘หนูไม่ชอบทานเผ็ด!’
ฉันพูดในใจแล้วตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก เคี้ยวมันอย่างเงียบๆ จ้องมองดอกปาริชาตที่ฉันยังคงไม่รู้ถึงตำนานของมัน ‘หนูไม่ชอบทานก๋วยเตี๋ยว’ เสียงในหัวของฉันยังคงบ่นต่อไปเรื่อยๆ
‘หนูไม่ชอบผลไม้พวกนั้น’
‘หนูไม่ชอบให้แม่ทำท่าทีแบบนี้’
‘หนูไม่ชอบให้แม่ทำเหมือนหนูไม่มีสิทธิเลือกอะไร!’
ฉันหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ก๋วยเตี๋ยวเผ็ดเกินไปสำหรับฉัน ฉันจ้องมองแม่ทานมันอย่างเอร็ดอร่อย ‘แต่มันคงอร่อยสำหรับเธอ’ ฉันคิดแล้วกลับมาทานก๋วยเตี๋ยวแสนเผ็ดในจาน ดื่มด่ำกับความอร่อยที่แม่ได้เลือกให้กับฉัน
ฉันกลับไปค้นหาเรื่องราวของดอกปาริชาตทันทีที่ช่วยแม่ล้างจานเสร็จ มันเป็นดอกไม้บนสวรรค์ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ อยู่ในตำนานเทพปรณัมฮินดู เป็นของวิเศษที่ได้จากการกวนเกษียณสมุทรโดยมีคุณสมบัติสุดล้ำคือ เมื่อมีใครได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ จะสามารถจำอดีตของตัวเองได้!
แม่มักจะพูดถึงความผิดปกติทางสมองที่ฉันเป็น ส่งผลทำให้ลืมอดีตที่ผ่านมาเป็นเวลานาน แม่จะดูเป็นทุกข์เสมอเมื่อเธออยากจะให้ฉันจำอะไรได้อย่างที่เธอจำ
แต่ฉันกลับคิดว่า ถ้าหากมันนานเกินไปจนเราลืมไปแล้ว เราจะเรียกมันว่า ‘ความทรงจำ’ ได้อย่างไรในเมื่อเราไม่จำมันแล้ว
ฉันไม่คิดว่าแม่จะเชื่อว่าดอกกรรณิการ์คือดอกปาริชาตอย่างในตำนานจริงๆ และไม่คิดว่าแม่จะแค่ประดับดอกไม้นั่นเพื่อความสวยงามแล้วทำลืมๆมันไป
แน่นอนว่าเธอชอบตำนานเช่นเดียวกับฉัน แต่เธอก็ชอบการทดลองด้วย แม่ชอบทำอะไรเป็นปริศนาบ่อยๆ และปริศนานั้นก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ทุกๆครั้ง ถ้าให้ฉันคิด กลิ่นหอมนั่นอาจไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้จริงๆ หากแต่เป็นสารระเหยที่กระตุ้นสมอง ที่จะทำให้การสแกนสมองในวันพรุ่งนี้สำเร็จไปด้วยดี
ฉันไม่รู้ว่ามันดีกับฉันแค่ไหน แต่รู้เพียงแค่ฉันแปลกใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เธอกำลังทำ หากแต่เป็นสิ่งที่เธอกำลังคิด...เธอเห็นฉันเป็นสัตว์ทดลองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ทันที่ที่ฉันเรียนออนไลน์เสร็จในช่วงเช้า แม่ก็พาฉันไปยังสถาบันวิจัยที่แม่ทำงานทันที ที่นั่นเป็นสถานที่ใหญ่โต มีหลายหน่วยงานตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน ฉันสแกนสมองที่ตึกด้านล่างของสถาบันด้วยการใส่หมวกครอบเหมือนนักบิน
อวกาศเพียงไม่กี่อึดใจ ผลการสแกนก็สามารถออนไลน์ส่งไปยังแพทย์ที่ดูแลฉันโดยตรง และแน่นอนฉันไม่มีสิทธิรู้ผลการตรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม่บอกว่าผลมันซับซ้อนเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจ เธอเพียงแต่บอกด้วยคำสั้นๆง่ายๆ ว่าดี ไม่ดี เพียงเท่านั้น
ฉันมักจะต้องไปรอแม่ประชุมอยู่เสมอ เพราะเธอไม่อยากให้ฉันคลาดสายตา การมากินนอนอยู่ที่ทำงานแม่จึงเป็นเรื่องปกติของฉัน สถาบันวิจัยของแม่ใหญ่โตพอที่จะกินพื้นที่ตึกทั้งตึก มีป้ายโครงการวิจัย ‘คะนึงนิจ’ ติดอยู่บนผนัง อักษรของมันวิจิตรบรรจงแทบจะใหญ่เกือบเท่าตัวของฉันเลยทีเดียว แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นโครงการวิจัยที่ใช้เงินมหาศาลแค่ไหน
ที่นี่มีห้องรับรองสุดสบายที่ฉันเข้าออกได้ตามใจชอบ และแน่นอนแม่ก็ชอบด้วยเพราะเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องทำงานของแม่นี่เอง ทุกคนที่นี่รู้จักฉัน และปฏิบัติกับฉันราวกับฉันเป็นเจ้าหญิง ฉันรู้จักกับเพื่อนของแม่แทบทุกคน อันที่จริงก็มีไม่ใช่คนบ้าง
เธอเป็นเอไอ ฉันสนิทกับเอไอที่เป็นเพื่อนแม่คนหนึ่งมาก เธอมีชื่อว่า ‘เคเรน’ ชื่อของเธอเป็นภาษาอังกฤษเพราะผู้พัฒนาโปรแกรมเป็นคนอเมริกา แต่เธอพูดภาษาไทยได้ชัดยิ่งกว่าครูภาษาไทยเสียอีก เธอใจดี คุยสนุก และที่สำคัญคือเธอมักจะรับฟังความเห็นของฉันเสมอๆ
ฉันเห็นเคเรนส่งยิ้มให้ฉันมาแต่ไกลทันทีที่ประตูอัตโนมัติหน้าตึกเปิดออก เธอตรงรี่เข้ามาสวมกอดฉันราวกับเราไม่ได้พบกันมานานทั้งๆเราแทบจะเจอกันทุกๆ 3วัน
“เดี๋ยวพวกเราจะมีประชุมน่ะ...เธออาจต้องรอนานหน่อยนะสุดสวย” เธอหยิกแก้มฉันอย่างเอ็นดู
“ลูกไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดก่อนแล้วกัน” แม่สั่งฉันอย่างเร่งรีบ แล้วหันไปคุยกับเพื่อนต่างชาติด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องประชุมที่ประตูเปิดรออยู่ เคเรนหันมายิ้มกับฉันอีกครั้งและเดินตามพวกเขาเข้าไป
ฉันเดินไปอีกฟากหนึ่งของตึกเพื่อจะไปเข้าห้องสมุดอย่างที่เคย ก่อนที่ฉันจะเลี้ยวไปยังมุมตึก หางตาก็เหลือบไปเห็นโถงทางเดินเล็กๆที่ฉันยังไม่เคยไป
วันนี้ฉันมาเช้ากว่าทุกๆวัน ถ้าจะลองเดินไปสำรวจรอบๆคงจะยังไม่มีใครทันสังเกต
ทางเดินเล็กๆนั้นเปิดไฟไว้เพียงไม่กี่ดวง ทำให้บรรยากาศแลดูมืดสลัว ฉันเดินเรื่อยๆมาจนสุดทางก็พบห้องหนึ่งที่ดูสะดุดตา ประตูบานใหญ่ ประดับด้วยภาพสลักหินทรายนูนต่ำเป็นภาพต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกลีบดอก 6กลีบ ฉันจ้องมองกิ่งก้านที่สลักเป็นเส้นพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต
“ปาริชาต เหรอ” ฉันคิดขึ้นได้ว่ามันเป็นต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนที่แม่เค